ประโยชน์ของชาเขียว
สาร epigallocatechin gallate (EGCG) ที่พบได้มากในชาเขียว
มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ช่วยในการขับสารพิษในร่างกาย
สามารถกวาดล้างอนุมูลอิสระที่เป็นตัวกัดกร่อน DNA ในกระแสเลือดลงได้
จึงส่งผลในการช่วยป้องกันความเสื่อมของเซลล์และอวัยวะต่าง ๆ ภายในร่างกาย
จนมีสุภาษิตจีนโบราณที่กล่าวไว้ว่า “ขาดอาหารสามวันยังดีเสียกว่า
ขาดชาเพียงวันเดียว”
และชาเขียวยังมีประโยชน์อย่างมากสำหรับผู้อยู่ในภาวะเครียดจากการทำงานสูง
และผู้ที่อยู่ในโปรแกรมการกำจัดไขมันหรือลดน้ำหนักดังจะได้กล่าวในข้อถัดไป
VIDEO มีการพิสูจน์แล้วว่าสารต้านอนุมูลอิสระในชาเขียวสามารถช่วยชะลอความแก่ชราและช่วยคงความอ่อนเยาว์ไว้ได้
แม้ว่าในอาหารอื่น ๆ
จะมีคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระ เช่น วิตามินซี วิตามินบี เบต้าแคโรทีน
แต่เมื่อเปรียบเทียบกันแล้วจะพบว่าคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระของโพลีฟีนอลในชาเขียวจะเหนือกว่า
การดื่มชาเขียวนอกจากจะดื่มเพื่อแก้กระหายแล้ว
ในชาเขียวยังมีคาเฟอีน ( Caffeine) และธิโอฟิลลีน ( Theophylline) ซึ่งเป็นสารที่มีฤทธิ์กระตุ้นการทำงานของระบบประสาทส่วนกลาง
ที่ช่วยแก้อาการง่วงนอนและทำให้ร่างกายรู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่า
คาเฟอีนยังช่วยกระตุ้นสมอง เพิ่มสมาธิ เพิ่มอัตราการเผาผลาญในร่างกาย
เพิ่มความดันโลหิต ช่วยระทำให้ระบบหมุนเวียนโลหิตทำงานดีขึ้น และยังมีสารจำพวก alcohol
และ aldehyde ที่มีกลิ่นหอมทำให้รู้สึกผ่อนคลาย
มีงานวิจัยมากมายที่สนับสนุนได้ว่าการดื่มชาเขียวจะช่วยเพิ่มการเผาผลาญพลังงานและไขมันได้
จึงส่งผลต่อการควบคุมน้ำหนักของร่างกาย และยังมีงานวิจัยที่แสดงให้เห็นว่า การดื่มชาเขียวสามารถช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลโดยรวมได้
และยังช่วยลดระดับไขมันเลว ( LDL) เพิ่มไขมันดี ( HDL) ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย
ดังนั้นการดื่มชาเขียวจึงสามารถช่วยลดความอ้วนได้
โดยมีรายงานการทดลองที่แสดงให้เห็นว่าอาสาสมัครชาวญี่ปุ่นที่ดื่มชาเขียววันละ 9
ถ้วย สามารถลดระดับคอเลสเตอรอลได้เฉลี่ย 8 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร
ส่วนผลการศึกษาจากมหาวิทยาลัยเจนีวา ในสวิสเซอร์แลนด์ ที่ได้ตีพิมพ์ลงในวารสาร The
American Journal of Clinical Nutrition ในเดือนพฤศจิกายน ปี 1999
นักวิจัยได้พบว่า ผู้ที่ดื่มคาเฟอีนและชาเขียว จะมีอัตราการเผาผลาญแคลอรี่มากกว่าคนที่ได้รับคาเฟอีนเพียงอย่างเดียว
ในขณะที่อีกงานวิจัยหนึ่งได้พบว่า คนที่มีระดับคอเลสเตอรอลค่อนข้างสูง
เมื่อเสริมด้วยชาสกัดจากชาเขียวและชาดำ เป็นเวลานาน 3 เดือน
จะมีระดับคอเลสเตอรอลที่ลดลงถึง 16% แต่สิ่งที่น่าใจก็คือ ผลการวิจัยโดยใช้แต่สารสกัดจากชาเขียว
ไม่พบว่าช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลได้
แต่ก็ยังไม่แน่ใจว่าการเติมชาดำเข้าไปจะทำให้ผลวิจัยประสบความสำเร็จ
ชาเขียวกับการลดน้ำหนัก การดื่มชาเขียววันละ 2
ถ้วย สามารถช่วยลดการเกิดไขมันส่วนเกินและทำให้รู้สึกอิ่มได้
ซึ่งจากการทดลองในหนูทดลอง โดยให้หนูบริโภคอาหารตามปกติและเสริมด้วยสารสกัดจากเชียว
พบว่าการสะสมของไขมันในหนูทดลองลดลง เมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุม
แต่เมื่อให้อาหารเสริมชาเขียวต่อไปนาน ๆ ปริมาณของไขมันกลับไม่ลดลงต่ำจนผิดปกติ
ส่วนการศึกษาในกลุ่มตัวอย่าง โดยการให้รับประทานชาเขียวสกัดวันละ 1,500 มิลลิกรัม
ติดต่อกันเป็นเวลา 3 เดือน พบว่ากลุ่มตัวอย่างมีน้ำหนักตัวลดลงโดยรวมประมาณ 4.6%
หรือประมาณ 3.5 กิโลกรัม และรอบเอวลดลงโดยรวม 4.48% หรือประมาณ 1.6 นิ้ว
จากการศึกษานี้ยังได้สรุปถึงกลไกการทำงานของชาเขียวสกัดในการลดน้ำหนักไว้ว่า
เขียวสามารถช่วยยับยั้งเอนไซม์ไลเปสจากกระเพาะอาหารและตับอ่อน
ทำให้การย่อยไขมันลดลง ส่งผลให้ไขมันดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้น้อยลง
จึงช่วยลดการสะสมของไขมันใหม่ได้ อีกทั้งยังช่วยกระตุ้นระบบการเผาผลาญในร่างกาย
โดยการยับยั้งเอนไซม์ที่จะไปทำลาย Norepinephrine จึงทำให้
Norepinephrine อยู่ในร่างกายและออกฤทธิ์ได้นานขึ้น
ส่งผลทำให้การเผาผลาญไขมันในร่างกายมีเพิ่มมากขึ้น
สาร EGCG สามารถช่วยกำจัดไขมันคอเลสเตอรอลในหลอดเลือด
จึงส่งผลช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคความดันโลหิตสูงจากการอุดตันของไขมันในหลอดเลือดได้
ช่วยลดและควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด จึงช่วยในการป้องกันและชะลอการเกิดโรคเบาหวานได้
เพราะสาร catechins ในชาเขียวมีประสิทธิภาพในการจำกัดการทำงานของ amylase
enzyme ทำให้ไม่สามารถดูดซึมน้ำตาลกลูโคสเข้าสู่ร่างกายได้
ส่งผลทำให้น้ำตาลในเลือดไม่สูงขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับการทดสอบในหนูทดลองที่พบว่า catechins
สามารถช่วยลดระดับกลูโคสและระดับอินซูลินในเลือดได้
และเมื่อทำการวิจัยกับอาสาสมัครโดยให้ catechins ในขนาด
300 มิลลิกรัม แล้วตามด้วยการบริโภคแป้งข้าว 50 กรัม
พบว่าระดับของกลูโคสและระดับของอินซูลินในเลือดไม่สูงขึ้นตามที่ควรจะเป็น
การดื่มชาเขียวมีผลช่วยลดอัตราความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งต่าง
ๆ ได้ โดยผู้ที่ดื่มชาเขียวเป็นประจำจะมีอัตราการเป็นมะเร็งปอด มะเร็งเต้านม
มะเร็งลำไส้ มะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งหลอดอาหาร มะเร็งต่อมลูกหมาก
มะเร็งตับอ่อนต่ำกว่าผู้ที่ไม่ได้ดื่ม โดยมีสาร EGCG เป็นสารต้านพิษ
และช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง ช่วยฆ่าเซลล์มะเร็ง
โดยไม่ทำลายเนื้อเยื่อส่วนดี
(แต่ยังไม่มีงานวิจัยที่ยืนยันได้ว่าชาเขียวสามารถรักษาโรคมะเร็งได้) ซึ่งในปี
1994 วารสารของสถาบันมะเร็งแห่งชาติ
ได้ตีพิมพ์ผลการศึกษาที่แสดงให้เห็นว่าการดื่มชาเขียวสามารถช่วยลดอัตราเสี่ยงของโรคมะเร็งหลอดอาหารในหมู่ชาวจีนทั้งหญิงและชายได้เกือบถึง
60% ส่วนนักวิจัยจากมหาวิทยาปูร์ดู ได้สรุปว่า
สารประกอบในชาเขียวสามารถช่วยยับยั้งการเติบโตของเซลล์มะเร็งได้ ส่วนนิตยสาร Herbs
for Health ได้อ้างตัวอย่างรายงานจากญี่ปุ่นว่าคนที่ดื่มชาเขียว
10 แก้วต่อวัน จะปลอดโรคมะเร็งนานกว่าคนที่ดื่มชาเขียวน้อยกว่า 3 แก้วต่อวัน ถึง 3
ปี (ในชาเขียว 3 แก้ว มีโพลีฟีนอลประมาณ 240-320 มิลลิกรัม)
ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของนักวิทยาศาสตร์ชาวญี่ปุ่นที่สถาบันวิจัยมะเร็ง Saitama
ที่สรุปว่า การเกิดโรคมะเร็งเต้านมหรือการขยายตัวของโรคนั้นจะน้อยลง
หากในประวัติผู้หญิงคนนั้นมีการดื่มชาเขียว 5 ถ้วย หรือมากกว่านั้นต่อวัน
และจากรายงานการแพทย์ของญี่ปุ่นในปี ค.ศ.1982 และ 1987
ได้พบว่าในแถบจังหวัดมิซูโอกะ ซึ่งเป็นถิ่นที่มีการดื่มชาเขียวกันมาก
มีอัตราการเกิดโรคมะเร็งในกระเพาะอาหารอยู่ในระดับต่ำกว่าเกณฑ์เฉลี่ย
ส่วนรายงานจากทีมวิทยาศาสตร์จากศูนย์กลางการวิจัยโรคมะเร็ง ในบริติช โคลัมเบีย
ได้สรุปว่าสารคาเทชินในชาเขียวสามารถยับยั้งการสร้างไรโตรซามีนซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งได้
นอกจากนี้ยังมีการการทดลองในหนูทดลองเพื่อศึกษาประสิทธิภาพในการป้องกันโรคมะเร็งชนิดต่าง
ๆ โดยให้หนูทดลองบริโภคสารละลายโพลีฟีนอลแต่ละชนิด
และฉีดสารก่อมะเร็งเอ็นเอ็นเคเข้าไป ผลปรากฏว่าสารโพลีฟีนอล EGCG ที่พบมากในชาเขียวสามารถลดอัตราการก่อตัวเป็นมะเร็งได้ดีที่สุด
โดยนักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า catechins มีบทบาทช่วยลดภาวะเป็นพิษของสารก่อมะเร็งบางชนิด
แทรกแซงกระบวนเกาะยึดตัวของสารก่อมะเร็งต่อ DNA ของเซลล์ปกติ
มีฤทธิ์เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ทรงพลัง
ช่วยเสริมการทำงานของสารต้านอนุมูลอิสระและเอนไซม์อื่น ๆ
และช่วยจำกัดการลุกลามของเซลล์เนื้องอก
การวิจัยเมื่อปี 1997 ของมหาวิทยาลัยแคนซัส
ได้สรุปว่า EGCG นั้นมีฤทธิ์แรงเท่ากับ Resveratrol ถึงเกือบ
2 เท่า ซึ่งเป็นการอธิบายว่า
ทำไมชาวญี่ปุ่นจึงมีอัตราเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจค่อนข้างต่ำ แม้ว่ามากกว่า 75%
ของชาวญี่ปุ่นจะสูบบุหรี่ก็ตาม
แล้วทำไมชาวฝรั่งเศสจึงมีอัตราเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจน้อยกว่าชาวอเมริกัน ทั้ง ๆ
ที่บริโภคอาหารที่มีไขมันสูงเช่นกัน สาเหตุก็เป็นเพราะชาวฝรั่งเศสชอบดื่มไวน์แดง
ซึ่งมีสาร Resveratrol ที่เป็นโพลีฟีนอล
ที่ช่วยลดอันตรายจากการสูบบุหรี่และรับประทานอาหารที่มีไขมันสูงนั่นเอง
ชาเขียวมีฤทธิ์ต่อต้านและยับยั้งการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ
จากข้อมูลในปัจจุบันได้แนะนำว่าการบริโภคอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสามารถช่วยลดการเกิดโรคหัวใจ
เพราะสารต้านอนุมูลอิสระจะไปยับยั้งขบวนการออกซิเดชั่นของไขมัน
อันจะนำไปสู่การลดการลดการเกิดของหลอดเลือดแข็งตัว ( antherosclerosis) และลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจได้ในที่สุด
สาร EGCG สามารถช่วยยับยั้งการก่อตัวแบบผิดปกติของก้อนเลือด
ซึ่งเป็นสาเหตุของอาการหัวใจวายและลมชักได้ และจากผลการวิจัยอื่น ๆ
ยังพบอีกว่าชาเขียวนั้นมีสรรพคุณเทียบเท่ากับยาแอสไพรินในการยับยั้งการแข็งตัวของเลือดที่ผิดปกติ
ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของโรคหัวใจวายและหลอดเลือดสมอง
สารไทอะนีน ( Theanine) เป็นกรดอะมิโนที่ทำชาเขียวมีรสกลมกล่อม
สามารถช่วยควบคุมการทำงานของสมองและลดความดันโลหิตได้
นอกจากชาเขียวจะมีสาร EGCG แล้ว
ชาเขียวยังมีสารอื่น ๆ ที่สำคัญอีกมากมาย เช่น วิตามินและเกลือแร่ต่าง ๆ
ซึ่งจำเป็นต่อร่างกาย สารคลอโรฟิลล์ ( Chlorophyll) ที่มีประโยชน์ต่อขบวนการสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดง
และช่วยในการจับสารพิษตกค้างออกจากร่างกาย
มหาวิทยาลัย Cleveland’s Western
Reserve ได้สรุปว่า การดื่มชาเขียว 4
แก้วหรือมากกว่านั้น
จะช่วยป้องกันโรคปวดข้อหรือลดอาการปวดในกรณีของคนที่ป่วยอยู่แล้ว
เมื่อไม่นานมานี้ได้มีการศึกษาที่พบว่า
สารประกอยหลัก ( EGCG) ที่พบในชาเขียวมีบทบาทสำคัญในการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีได้
ซึ่งได้ตีพิมพ์ในวารสารวิทยาภูมิคุ้มกันทางการแพทย์และโรคภูมิแพ้
โดยผลการทดลองได้แสดงให้เห็นว่า ชาเขียวเข้มข้นสามารถช่วยป้องกันไม่ให้เชื้อไวรัสเอชไอวีจับตัวกับเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดที่มีความสำคัญต่อภูมิคุ้มกันในร่างกายของเรา
( T cells) ซึ่งเป็นด่านแรกที่ทำให้มีโอกาสติดเชื้อเอชไอวีได้
ถ้ามีผลการศึกษาเพิ่มเติมยืนยันการวิจัยดังกล่าว
ก็อาจจะนำสารในชาเขียวมาใช้ทดลองในการผลิตยาเพื่อป้องกันการลุกลามของเชื้อเอชไอวีต่อไป
จากงานวิจัยของมหาวิทยาลัยในฮ่องกง
ได้พบว่าสารคาเทาชินสามารถส่งเสริมการเจริญเติบโตของกระดูกได้ถึง 79%
โดยไม่มีอันตรายใด ๆ ต่อกระดูก
ดังนั้นการดื่มชาเขียวอาจช่วยส่งเสริมสุขภาพของกระดูก
ช่วยป้องกันและรักษาโรคกระดูกพรุนหรือโรคทางกระดูกอื่น ๆ ได้
ชาเขียวยังช่วยป้องกันฟันผุได้ด้วย
เพราะชาเขียวมีความสามารถในการทำลายแบคทีเรีย สามารถป้องกันอาหารเป็นพิษ
และยังช่วยฆ่าแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดคราบพลัคในช่องปากได้อีกด้วย
ซึ่งจากการทดสอบในห้องปฏิบัติการพบว่า สาร catechins สามารถช่วยยับยั้งกระบวนการผลิตกลูแคนของเชื้อ
Streptococcus mutans ในช่องปากได้อย่างมีประสิทธิภาพ
(เชื้อชนิดนี้เป็นสาเหตุของการเกิดฟันผุ)
จึงอาจกล่าวได้ว่าการดื่มชาเขียวหลังมื้ออาหารจะสามารถป้องกันโรคฟันผุได้เป็นอย่างดี
ชาเขียวสามารถช่วยลดกลิ่นปากและแบคทีเรียในช่องปากได้
โดยช่วยทำให้ลมหายใจหอมสดชื่นและป้องกันการติดเชื้อ
ซึ่งจากการศึกษาของมหาวิทยาลัยเพส สหรัฐอเมริกา
พบว่าสารสกัดจากชาเขียวมีสรรพคุณช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียและทำลายจุลินทรีย์ที่เป็นสาเหตุของโรคต่าง
ๆ
มีงานวิจัยที่ระบุว่าถุงชา ( tea bag) สามารถช่วยบำบัดโรค
“ sick-house syndrome” หรือ มลภาวะภายในอาคารเป็นพิษ ( Indoor
Air Pollution) ซึ่งเป็นอาการป่วยที่มีสาเหตุมาจากการแพ้อากาศภายในอาคารหรือที่อยู่อาศัย
เช่น สารเคมีจากสีทาบ้าน เฟอร์นิเจอร์ที่มีสาร formaldehyde ซึ่งผสมอยู่ในสารเคมีเพื่อการตกแต่งบ้าน
ซึ่งจากการทดลองพบว่าใบชาเขียวหรือดำ ทั้งใหม่และแบบที่ชงแล้ว
สามารถช่วยดูดสารนี้ไว้แล้วไม่ปลดปล่อยสารกลับเข้าสู่บรรยากาศหลังจากดูดไว้แล้ว
วิธีการก็ถือให้ทิ้งใบชาไว้ที่อับ เช่น ในตู้เก็บถ้วยชาม ใบชาจะลดปริมาณของสาร formaldehyde
ที่มีอยู่ในอากาศได้ชาเขียวยังช่วยรักษาผิวที่ถูกแสงแดดทำลายได้ด้วย
นี่จึงเป็นเหตุว่าทำไมครีมหลายชนิดจึงมีชาเขียวส่วนประกอบ
ชาเขียวกับความงาม สูตรน้ำแร่ชาเขียว
ชั้นตอนแรกให้นำน้ำแร่มาต้มให้เดือด แล้วใส่ผงชาเขียวหรือใบชาเขียวลงไป
แล้วทิ้งไว้ให้เย็น (ถ้าใช้ใบชาควรกรองเอาแต่น้ำ) เสร็จแล้วเทน้ำใส่ขวดสเปรย์
ใช้เป็นสเปรย์น้ำแร่ชาเขียว โดยนำมาใช้ฉีดหน้าได้ทุกเวลาที่ต้องการ
โดยจะช่วยเพิ่มความชุ่มชื่นและความเปล่งปลั่งให้กับผิวหน้าของคุณได้เป็นอย่างดี
ส่วนอีกสูตรคือ สูตรถนอมผิวรอบดวงตาด้วยชาเขียว
ขั้นตอนแรกให้ต้มชาเขียวกับน้ำเดือด แล้วนำไปแช่ในตู้เย็นให้เย็นจัด แล้วใช้สำลีชุบชาเขียวให้เปียกชุ่ม
แล้วนำมาวางบริเวณเปลือกตาทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที
วิธีนี้จะช่วยลดริ้วรอยจากความอ่อนล้าของผิวรอบดวงตา
และยังช่วยลดอาการบวมของเปลือกตาและถุงใต้ตาได้ด้วย
ซึ่งจะช่วยทำให้ผิวนุ่มนวลและดูสดชื่น
ในปัจจุบันผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับชาเขียวก็มีวางจำหน่ายในหลากหลายรูปแบบ
โดยผู้ผลิตได้คิดค้นผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ
ที่มีส่วนผสมของสารสกัดจากชาเขียวหลั่งไหลออกมาสู่ท้องตลาดเป็นจำนวนมาก
ไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์ถนอมผิว เครื่องสำอางต่าง ๆ สบู่ เกลืออาบน้ำ
น้ำยาดับกลิ่นตัว ครีมบำรุงผิว โลชั่น ยาสีฟัน น้ำยาบ้วนปาก ฯลฯ
ชาเขียวยังนิยมนำมาใช้เพื่อปรุงแต่งกลิ่น สี
และรสชาติของอาหาร เพื่อตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของผู้บริโภค
โดยจัดเป็นสารให้กลิ่นรสจากธรรมชาติที่ได้รับความนิยมมากชนิดหนึ่ง
ส่วนผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบของชาเขียวรูปของอาหาร ได้แก่ เค้ก ขนมปัง
ขนมขบเคี้ยว ช็อกโกแลต ลูกอม หมากฝรั่ง ฯลฯ
และยังถูกนำมาใช้ในผลิตภัณฑ์ที่มีไขมันและน้ำมัน เพื่อป้องกันไม่ให้เหม็นหืนเร็ว
จนมีการศึกษาวิจัยถึงความเป็นไปได้ที่จะนำสารสกัดจากชาเขียวมาใช้เป็นสารกันบูดสำหรับอาหารสด
รวมไปถึงการนำชาเขียวมาผสมกับเส้นใยผ้า สำหรับเสื้อผ้า ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว
เป็นต้น และยังมีการนำไปใช้เป็นส่วนผสมในแผ่นใยกรองอากาศสำหรับเครื่องปรับอากาศ
ซึ่งก็นับว่าเป็นการเพิ่มช่องทางพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ
หรือเป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ได้
ผลิตภัณฑ์ชาเขียว
วิธีการชงชาเขียว
การชงชาเขียว ถ้าหากชงไม่ดีหรือชงนานเกินไป
สารโพลีฟีนอลจะเป็นตัวทำลายรสชาติของชาจนทำให้ชามีรสชาติเหมือนหญ้าได้
ดังนั้นจึงไม่ควรชงชาเขียวนาน ๆ การชงชาเขียวให้มีรสชาติที่ดีนั้นมีเคล็ดลับง่าย ๆ
ก็คือ ให้ใช้ชา 1 ถุง (ประมาณ 2-4 กรัม) ต่อถ้วย นำมาชงในน้ำเดือด ทิ้งไว้ประมาณ 3
นาที จากนั้นให้เทน้ำร้อนลงบนถุงชา และทิ้งไว้อีก 3 นาที แล้วค่อยนำถุงชาออก
และปล่อยให้ชาเย็นลงอีกประมาณ 3 นาที
การดื่มชาเขียว
การบริโภคชาเขียวที่ถูกต้อง คือ
การบริโภคชาเขียวในรูปแบบการชงชาดื่มเอง
เพราะนอกจากจะได้รับรสชาติและกลิ่นหอมแท้จากชาเขียวแล้วยังได้รับประโยชน์จากสารต้านอนุมูลอิสระที่ดีกว่าการแบบเครื่องดื่มชาเขียวสำเร็จรูป
ซึ่งจะมีส่วนผสมของน้ำตาลและปริมาณของชาเขียวที่เจือจาง
โดยชาเขียวร้อน 1 ถ้วย จะมี EGCG ประมาณ 100-200 มิลลิกรัม
ในขณะที่เครื่องดื่มชาเขียวสำเร็จจะมีปริมาณของใบชาที่น้อยมากอยู่แล้ว
จึงทำให้มีสารสำคัญน้อยลงตามไปด้วย ถ้าจะดื่มเพื่อให้ประโยชน์จากสาร EGCG ก็อาจจะต้องดื่มหลายขวดต่อวัน
ซึ่งแทนที่เราจะได้รับประโยชน์ก็อาจจะทำให้เสียสุขภาพเนื่องจากร่างกายได้รับน้ำตาลที่สูงเกินไปแทน
ดังนั้นจึงไม่ควรดื่มชาเขียวสำเร็จรูปบ่อยจนเกินไป แต่ให้ดื่มเพื่อดับกระหายเพียง
1-2 ครั้งต่อวัน และไม่ควรดื่มติดต่อกันทุกวันก็พอ
โดยหลักการแล้วเราจะได้รับสารต้านอนุมูลอิสระซึ่งเป็นสารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายจากชาเขียวมากที่สุด
คือ การดื่มชาเขียวร้อน ในอุณหภูมิที่เหมาะสม ซึ่งจากงานวิจัยได้ระบุว่า
การต้มชาเขียวในน้ำร้อนอุณหภูมิประมาณ 70-78 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 2-4 นาที
จะตรวจพบสารต้านอนุมูลอิสระที่ยังคงอยู่ในปริมาณสูงที่สุด
ในแต่ละวันไม่ควรดื่มชาเขียวเกิน 10-12 ถ้วย
เพราะชาเขียวมีคาเฟอีน การดื่มในปริมาณมากจะส่งผลให้นอนไม่หลับได้
(ส่วนชาเขียวแบบปราศจากคาเฟอีนก็มีวางจำหน่ายอยู่บ้าง แต่ค่อนข้างหาซื้อได้ยาก)
ส่วนการดื่มในปริมาณที่เหมาะสมจากการชงใบชา คือ ประมาณ 1-2 ช้อนชาในน้ำร้อน วันละ
3 ถ้วย โดยให้ดื่มระหว่างมื้ออาหาร
เพื่อให้ได้ประโยชน์ต่อสุขภาพและไม่ส่งผลเสียต่อร่างกาย
ส่วนงานวิจัยของมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียนั้นได้ระบุเรื่องคุณสมบัติของการป้องกันมะเร็งของชาเขียวไว้
โดยพบว่าคนเราสามารถได้รับปริมาณโพลีฟีนอล ( Polyphenols) ในปริมาณที่ต้องการได้โดยการดื่มชาเขียวเพียง
2 ถ้วยต่อวัน ส่วนหนังสือวิตามินไบเบิลได้ระบุว่า
เพื่อให้ได้ผลดีต่อสุขภาพากการดื่มชาเขียวอย่างครบถ้วน
คุณจะต้องดื่มชาเขียวประมาณวันละ 5-10 ถ้วย
(ชาเขียวสกัดหนึ่งเม็ดจะมีค่าเท่ากับชาเขียวหนึ่งถ้วยครึ่ง)
แต่บริษัทผู้ค้าชาเขียวชนิดแคปซูลกลับระบุว่า
หากต้องการให้ได้ประโยชย์อย่างสูงสุดในแต่ละวัน จะต้องดื่มชาเขียวถึงวันละ 10
ถ้วยเลยทีเดียว ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลของ นพ.บรรจบ ชุณหสวัสดิกุล ผู้เชี่ยวชาญการแพทย์ธรรมชาติบำบัด
ที่กล่าวว่า การรับประทานชาเขียวให้ได้สารต้านอนุมูลอิสสระ
จะต้องชงชาเขียวเข้มข้นแบบญี่ปุ่นและต้องดื่มชาเขียวอย่างน้อยวันละ 20 แก้ว
เป็นประจำทุกวัน จึงจะสามารถป้องกันโรคมะเร็งได้ ซึ่งในทางปฏิบัตินั้นอาจทำได้ยาก
และยิ่งเป็นชาเขียวสำเร็จรูปที่เป็นชาเขียวแบบเจือจาง (แต่โฆษณาแบบเต็ม ๆ)
ทั้งยังปรุงรสแต่งกลิ่นและรสด้วยน้ำตาล การดื่มมาก ๆ ก็อาจทำให้เกิดโรคอ้วนได้
แต่ไม่ว่าใครจะว่าอย่างไรก็ตาม การดื่มชาเขียวแบบชงเพียง 3-5 ถ้วยต่อวัน
ก็ดูจะปลอดภัยและเป็นประโยชน์กับร่างกายที่สุด
องค์การอนามัยโลกได้แนะนำว่าควรดื่มชาในระหว่างอาหารเพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุด
หลังจากดื่มชาไปแล้วประมาณ 30-50 นาที antioxidant activity ในเลือดจะพุ่งพรวดขึ้นไปที่ประมาณ
41-48% และจะคงอยู่เช่นนั้นนานประมาณ 80 นาที ซึ่งการที่เลือดมี antioxidant
activity สูงขึ้นย่อมทำให้อนุมูลอิสระในร่างกายถูกขจัดไปเป็นจำนวนมาก
ซึ่งก็หมายถึงการมีสุขภาพที่ดีขึ้นนั่นเอง
ไม่ควรดื่มน้ำชาร่วมไปกับการรับประทานอาหาร
เพราะแร่ธาตุจากผักใบเขียวหรือจากผลไม้จะถูกสารสำคัญจากชาดักจับไว้หมด
ไม่ให้ดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย
สำหรับผู้ที่รับประทานวิตามินเสริม เช่น
ธาตุเหล็ก เกลือแร่ หรือยาที่คล้ายคลึงกัน ควรหลีกเลี่ยงการดื่มชาร่วมไปด้วย
เพราะสารสำคัญในใบชาเขียวจะไปตกตะกอนธาตุเหล็กหรือเกลือแร่ไม่ให้ถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย
การดื่มชาร้อน ๆ จะทำให้สารสำคัญที่มีประโยชน์
คือ “คาเทชิน” จะถูกความร้อนทำลายไปเกือบหมด จนเหลือแต่รสชาติและความหอม
แต่ถ้าต้องการให้ร่างกายได้รับประโยชน์จากการดื่มชาแบบร้อน ๆ
ก็ควรดื่มน้ำชาที่เข้มข้น
เพราะความเข้มข้นของใบชาที่เพิ่มขึ้นจะทำให้ปริมาณของสารคาเทชินเพิ่มขึ้นไปด้วย
แม้ว่าสารเหล่านี้จะสลายตัวไปบางส่วนเมื่อถูกความร้อนก็ตาม แต่ก็ยังคงมีบางส่วนที่หลงเหลือพอที่จะให้ประโยชน์ต่อสุขภาพได้บ้าง
ส่วนข้อมูลจาก นพ.กฤษดา ศิรามพุช ผอ.สถาบันเวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ ได้ระบุว่า
การดื่มชาร้อนนั้นมีผลการวิจัยที่ระบุว่า สารต้านอนุมูลอิสระในชาจะหายไปประมาณ 20%
หากโดนความร้อนนาน ๆ และให้เคล็ดลับการชงชาเขียวเพื่อให้สารต้านอนุมูลอิสระยังคงอยู่
ด้วยการบีบน้ำมะนาวลงไปในระหว่างการชงชา
ชาเขียวหากนำมาเตรียมเป็นเครื่องดื่มแช่เย็น
ความเย็นจะช่วยรักษาคุณค่าของสารสำคัญในชาเขียวได้ (แบบชงเอง)
แต่อย่างไรก็ตามหากเป็นเครื่องดื่มชาเขียวสำเร็จรูป ขบวนการผลิตก็ต้องผ่านการต้มหรือทำให้ร้อน
และต้องผ่านขบวนการฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ก่อนนำมาบรรจุลงในขวด
จึงทำให้ปริมาณของสารสำคัญถูกทำลายไปด้วย
การดื่มน้ำชา ไม่ควรแต่งรสด้วยนมทุกชนิด
ไม่ว่าจะเป็นนมสด นมข้น หรือนมผง เพราะโปรตีนจากนมจะไปจับกับสารสำคัญในชา
และไปทำลายประสิทธิภาพของสารออกฤทธิ์ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย
ซึ่งวิธีการดื่มชาเขียวที่ดีที่สุดก็คือการดื่มแต่น้ำชาล้วน ๆ
ไม่ต้องปรุงแต่งอะไรเพิ่มเติม
ในปัจจุบันเพื่อความสะดวกในการทานชาเขียว
จึงมีผลิตภัณฑ์ชาเขียวสกัดให้เลือกสรรกันมากมาย สำหรับเทคนิคในการเลือกซื้อ
ควรพิจารณาเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่มีความเข้มข้นของชาเขียวที่สูงเพียงพอต่อการดูแลสุขภาพ
เพราะชาเขียวบางยี่ห้อจะมีสารสำคัญอยู่น้อยมาก แต่กลับอวดอ้างสรรพคุณเกินจริง
ที่สำคัญควรผลิตจากโรงงานที่รับมาตรฐาน เชื่อถือได้
ซึ่งในขนาดที่แนะนำให้รับประทานเพื่อการดูแลสุขภาพของสารสกัดจากชาเขียวคือวันละประมาณ
750-1,500 มิลลิกรัม ส่วนในด้านความปลอดภัยนั้น สารสกัดจากชาเขียว
ได้รับการรับรองความปลอดภัยจากสำนักงานอาหารและยาของสหรัฐอเมริกาแล้ว ( GRAS)
น้ำชาเขียว
ข้อควรระวังในการดื่มชาเขียว
สำหรับผู้ที่ไม่ควรบริโภคชาเขียวหรือควรปรึกษาแพทย์ก่อนการบริโภค
ได้แก่ ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับโรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง เป็นโรคไต
เป็นไฮเปอร์ไทรอยด์ ผู้ที่มีอาการนอนไม่หลับ
ผู้ที่มีเลือดออกผิดปกติหรือมีการแข็งตัวของเลือดที่ผิดปกติ
ผู้ป่วยที่กำลังรับประทานยาละลายลิ่มเลือด สตรีมีครรภ์ กระเพาะอาหารอักเสบ
รวมไปถึงผู้ที่กังวลง่ายหรือมีอาการผิดปกติทางระบบประสาท
จากงานวิจัยหลายชิ้นได้ระบุว่า
อุณหภูมิและเวลามีผลต่อการลดลงของสารต้านอนุมูลอิสระที่มีอยู่ในชาเขียว
ซึ่งบางบทความที่เผยแพร่ในบ้านเรา ได้ระบุว่า
“เป็นเรื่องน่าห่วงสำหรับคนไทยนิยมที่ดื่มชาเขียวแช่เย็นที่มีขายตามท้องตลอด
ซึ่งในประเทศที่ดื่มชาเขียวเป็นประจำอย่างญี่ปุ่นเขาจะไม่ทำกัน
เพราะชาเขียวจะมีประโยชน์ต่อร่างกายในขณะที่ยังร้อนอยู่เท่านั้น
ในทางกลับกันก็เป็นโทษต่อร่างกายหากดื่มชาเขียวแช่เย็น
เพราะนอกจากจะไม่ช่วยในการต้านอนุมูลอิสระและขับสารพิษออกจากร่างกายแล้วยังก่อให้เกิดการเกาะตัวแน่นของสารพิษดังกล่าวอันเป็นสาเหตุของมะเร็ง
นอกจากนี้ชาเขียวเย็นยังส่งผลให้ไขมันในร่างกายก่อตัวมากขึ้นตามผนังหลอดเลือด
และไปอุดตันตามผนังลำไส้ ทำให้เกิดโรคต่าง ๆ ตามมามากมาย เช่น
หลอดเลือดหัวใจอุดตัน เส้นเลือดตีบ มะเร็งลำไส้ ฯลฯ เป็นต้น” แม้ว่าจะไม่มีงานวิจัยรองรับว่าการดื่มชาเขียวเย็นจะเป็นโทษต่อร่างกายมากมายขนาดนั้นก็ตาม
แต่บางข้อมูลกลับระบุว่าการดื่มชาเขียวร้อนหรือเย็น (แบบชงเอง)
ไม่น่าจะมีความแตกต่างกัน
การบริโภคชาเขียวในปริมาณสูงและติดต่อกันเป็นระยะเวลานานอาจส่งผลเสียต่อตับได้
เพราะมีรายงานการวิจัยในหนูเม้าส์ พบว่าสาร epigallocatechin gallate
(EGCG) ส่งผลให้ตับถูกทำลายเล็กน้อยเมื่อบริโภคในขนาดสูง
(2,500 มก./กก.) ติดต่อกัน 5 วัน
และความเป็นพิษต่อตับจะยิ่งเพิ่มขึ้นเมื่อบริโภคชาเขียวในขณะเป็นไข้
(แต่การบริโภคชาเขียวในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ นั้นยังถือว่ามีความปลอดภัยครับ)
สำหรับผู้ที่มีความผิดปกติเกี่ยวกับตับหรือมีอาการไข้
ควรหลีกเลี่ยงการบริโภคชาเขียวในขนาดสูงและติดต่อกันเป็นเวลานาน
ผลเสียของการดื่มชาเขียว คือ
จะมีอาการนอนไม่หลับ (เนื่องมาจากคาเฟอีน) แต่อย่างไรก็ตาม
ชาเขียวก็ยังมีปริมาณคาเฟอีนที่น้อยกว่ากาแฟ กล่าวคือ ชาเขียวประมาณ 6-8
ออนซ์จะมีคาเฟอีนประมาณ 30-60 มิลลิกรัม แต่ในขณะที่กาแฟ 8
ออนซ์จะมีปริมาณของคาเฟอีนมากกว่า 100 มิลลิกรัม
ในชาเขียวมีสารแทนนิน ( Tannin) ซึ่งมีฤทธิ์ฝาดสมานและเป็นสารที่ช่วยบรรเทาอาการท้องเสีย
จึงมีความเป็นไปได้ว่าการดื่มชาเขียวในปริมาณมากเกินไป จะสามารถทำให้ท้องผูกได้
ใบชามีองค์ประกอบของฟลูออไรด์ในปริมาณที่ค่อนข้างสูง
(สูงกว่าในน้ำประปา) การที่ร่างกายได้รับสารนี้เข้าไปทุกวันจากการดื่มชา
จะเกิดการสะสมและมีผลให้ไตวาย เกิดโรคมะเร็งลำไส้ เป็นโรคข้อ โรคกระดูกพรุน
และโรคอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับกระดูก สำหรับในผู้ที่ดื่มไม่มาก
ก็คงไม่ต้องเป็นกังวล
ใบชายังมีสารที่ไม่ดีต่อสุขภาพอีก คือ
สารออกซาเรต ( Oxalate) ซึ่งเป็นสารที่มีผลทำลายไต
แม้ว่าในใบชาจะมีสารชนิดนี้อยู่ไม่มากก็ตาม
แต่สำหรับผู้ที่ดื่มชาในปริมาณมากและดื่มเป็นประจำ สารออกซาเลตก็จะสะสมในร่างกายได้
โทษขอการดื่มชาต่อร่างกายก็มีรายงานไว้เช่นกัน
จึงมีคำแนะนำว่าไม่ให้เด็กดื่มชาเขียว เพราะจะทำให้ร่างกายขาดสารอาหารได้
โดยเฉพาะสารสำคัญ คือ แทนนิน จะไปตกตะกอนโปรตีนและแร่ธาตุต่าง ๆ
จากอาหารที่เรารับประทานเข้าไป จึงส่งผลทำให้การดูดซึมสารอาหารในร่างกายลดลงด้วย
สำหรับบางคนที่ดื่มชาเขียวก็อาจทำให้เกิดอาการแพ้ได้เช่นกัน
แต่ก็พบได้ไม่บ่อยนัก ซึ่งถ้าเกิดอาการแพ้ก็ควรหยุดบริโภคชาเขียวและไปพบแพทย์ทันที
โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่มีอาการแพ้อย่างรุนแรง เช่น หายใจติดขัด ริมฝีปาก
ลิ้น และใบหน้าบวม หรือเป็นลมพิษ รู้สึกแน่นเหมือนมีอะไรติดคอ
และอาจมีผลข้างเคียงเล็กน้อยอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นได้เช่นกัน เช่น ปวดศีรษะ
มีอาการเสียดคอและหน้าอก ท้องเสีย ท้องร่วง มีอาการท้องผูก เบื่ออาหาร
มีอาการหงุดหงิดง่าย เป็นกังวล นอนไม่หลับ มีอาการตกใจ หัวใจเต้นผิดปกติ
หรือมีผลข้างเคียงอื่น ๆ อีกนอกจากที่กล่าวมา ก็ให้รีบไปพบแพทย์ทันที
ส่วนข้อมูลจากนายกสมาคมแพทย์แผนจีน
ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ถึงแม้ว่าเขียวจะมีประโยชน์ต่อร่างกายมากมายก็ตาม
แต่ในความเป็นจริงแล้วชาเขียวก็มีสารที่เป็นโทษต่อร่างกายด้วยเช่นกัน
แต่ไม่ถึงกับเป็นอันตรายมากนัก ส่วนมากจะเกิดกับผู้ที่มีสภาพร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง
เมื่อดื่มแล้วทำให้มีอาการใจสั่น นอนไม่หลับ มีอาการระคายเคืองกระเพาะอาหาร
ท้องผูก ฟันดำ และหากดื่มอย่างต่อเนื่องก็อาจเป็นการเสพติดได้
cr www.youtube.com/watch?v=Pcxw_yN-GQc