วันศุกร์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2559






การแสดง สีละ




สิละ หรือ บือดีกา ศิลปะการต่อสู้ไทยมุสลิมแบบโบราณ  
    สิละ , ซีละ หรือไทยมุสลิมทางภาคใต้เรื่ยกว่า ดีกา , บือดีกา  เป็นศิลปะการต่อสู้ด้วยมือเปล่า  เน้น ให้เห็นลีลาการเคลื่อนไหวอย่างสงาม  ซึ่งเป็นสิลปะการต่อสู้ป้องกันตัวอย่างหนึ่งของชาวไทยมุสลิม    การต่อสู้แบบสิละนี้มีมาตั้งแต่  400 ปีมาแล้ว โดยกำเนิดขึ้นที่เกาะสุมาตราต่อมาผู้สอนเองมีการดัดแปลงแก้ไขให้เข้าทันยุคสมัย
                       

                        นักสิละรุ่นเยาว์กำลังวาดท่าลวดลายการต่อสู้ 

              คำว่า   สิละ   บางครั้งเขียนหรือพูดเป็น  ซีละ  หรือ  ซิละ เข้าใจว่ารากศัพท์มาจาก   ศิละ ภาษาสันสกฤตเพราะดินแดนชวามลายูในอดีตเป็นดินแดนของอาณาจักศรีวิชัยซึ่งมีวัฒนธรรมอินเดียเป็นแม่บทสำคัญ  ดังปรากฎคำสันสกฤตอยู่   ชึ่ง สิละนั้นหมายถึง  การต่อสู้ด้วยน้ำใจนักกีฬา  ผู้เรียนวิชานี้ต้องมีศิลปะมีวินัยที่จะนำกลยุทธ์ไปใช้ป้องกันตัว   มิใช่ไปทำร้ายผู้อื่นให้ได้รับความเดือดร้อน    ก่อนการฝึกสิละผู้เรียนจะต้องเตรียมข้าวของเพื่อไหว้ครูก่อนประกอบด้วย  ผ้าขาว  ข้าวสมางัด  ด้ายขาว  และแหวน  1  วงมามอบให้กับครูฝึก  ผู้เรียนจะต้องมีอายุไม่น้อยกว่า  15  ปี ระยะเวลาในการเรียน  3 เดือน 10 วัน (หรือ  100 วัน)จึงถือว่าจบหลักสูตร  โดยมีครูผู้สอน  1  คนต่อศิษย์ผู้เรียน  14  คน   ในรุ่นหนึ่งๆคนที่เก่งที่สุดจะได้รับแหวนจากครูและได้รับเกียรติเป็นหัวหน้าทีมและสอนแทนครูได้      การแต่งกายของนักสิละ ประกอบด้วย  ผ้าโพกศีรษะ  สวมเสื้อคอกลมหรือคอตั้ง  นุ่งกางเกงขายาว  แล้วมีผ้าโสร่งเรี่ยกว่าผ้าซอเกตลายสดสวยทับพร้อมกับผ้าลือปักคาดสะเอว หรือใช้เข็มขัดคาดแทนให้กระชับ  และเหน็บกริชตามฉบับนักสู้ไทยมุสลิม    เครื่องดนตรีประกอบการแสดงสิละมี  กลองมลายู  1  คู่   ฆ้อง  1 ใบ  และปี่ชวา  1 เล







           
                       นักบรรเลงดนตรีให้จังหวะประกอบการร่ายรำสิละ 
        
         

                      การบรรเลงเครื่องดนตรีประกอบสิละ 


         
                 นักสิละรุ่นเยาว์กำลังวาดท่าลวดลายร่ายรำสิละ 
         
      ดั้งนั้นจะเริ่มต้นด้วยการไหว้ครู  โดยจะเข้าไหว้ครูทีละคนซึ่งแต่ละสำนักจะมีการไหว้ครูแตกต่างกันออกไป  ระหว่างนี้นักสิละจะทำปากขมุบขมิบกล่าวคาถาเป็นภาษาอาหรับและขอพร 4 ประการ  หลังจากนั้น นักสิละทั้งสองฝ่ายจะทำการเคารพกันก่อนลงมือต่อสู้  เรี่ยกว่า สาลามัต   คือสัมผัสมือกันแล้วมาแตะที่หน้าผากจึงเริ่มการแสดงท่าทางลวดลายการร่ายรำต่อสู้ตามศิลปะสิละ   โดยระหว่างการต่อสู้มีกฎห้ามว่า  อย่าใช้นิ้วมือแทงตาคู่ต่อสู้   ไม่กำมือแน่น   ห้ามบีบคอ  ห้ามต่อยแบบมวยไทย 
       สิละของไทยมุสลิมภาคใต้  แบ่งออกเป็น  3  ประเภท   คือ 
                1. สิละยาโต๊ะ(ตก)  คือการต่อสู้อาศัยการรุกและรับ  ถ้ารับไม่ได้ก็จะตกไปเลย ส่วนมากใช้ในการประชันฝีมือ
                 2. สิละตารี (รำ)  คือการต่อกรด้วยความชำนิชำนาญในจังหวะลีลาร่ายรำ  ใช้ในการแสดงเฉพาะหน้าเจ้าเมืองหรือเจ้านายชั้นสูง
                3. สิละกายอ (กริช)  คือการต่อสู้ใช้กริชประกอบการร่ายรำไม่ใช่การต่อสู้จริงๆ แต่อวดลีลากระบวนท่าทางต่อสู้ส่วนมากมักจะแสดงในเวลากลางคืน
            
                             หนึ่งในท่าไหว้ครูของสิละ 
               
        
                          หนึ่งในท่าไหว้ครูของสิละ 
               
          
                 
                                   หนึ่งในท่าทางการต่อสู้สิละ 
     
          สิละนับตั้งแต่สมัยอดีตเป็นทั้งสิลปะที่ใช้ในการต่อสู้จวบจนกระทั่งมีวิวัฒนาการมีการปรับเปลี่ยนใช้เป็นการร่ายรำต่อสู้อวดลีลาท่าทางกระบวนการต้อสู้อย่างสวยงามสมจริง  สิละนี้เป็นศิลปะการต่อสู้ที่คล้ายกับมวยจีนหรือกังฟู  ทำให้ชวนนึกไปถึงการสืบเนื่องมาจากพ่อค้าชาวจีนที่เข้ามาทำการค้าขายในเมืองปัตตานีดังในตำนานเมืองปัตตานี  หลายตำนานที่มีชาวจีนเข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งเมื่อเข้ามาทำการค้าขายก็อาจได้เอาศิลปะการต่อสู้ของตนเองเข้ามาผสมผสานเข้ากับการต่อสู้แบบพื้นเมือง     อย่างไรก็ตามยังมีที่มาของสิละหลายสำนวนที่ยังหาข้อสรุปที่แน่นอนไม่ได้


         สิละ ปัจจุบันอันศิลปะการต่อสู้ของชาวไทยมุสลิมถิ่นมลายูในภาคใต้ของประเทศไทยที่ควรค่าแก่การอนุรักษ์และชื่นชม ซึ่งนับว่าเป็นสมบัติทางวัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์ของท้องถิ่นและของชาติกำลังจะเคลือบคลาน ถูกกลืนและเลือนหายไปจากสังคมคนไทยมุสลิมภาคใต้ของไทย   ทั้งนี้เนื่องมาจากสภาวะการณ์ทางสังคม  การเอาใจใส่ช่วยเหลือจากสังคมหลักและการขาดการเข้าใจ   เข้าถึงวัฒนธรรมของท้องถิ่นของหน่วยงานที่จะเข้ามาดูแลและให้การช่วยเหลือในการสนับสนุนอนุรักษ์วัฒนธรรมของท้องถิ่นอันเป็นรากเหง้าที่เป็นต้นแบบนำไปสู่ศิลปะการแสดงต่างๆนานาของสังคมประเทศชาติหลักอันสิ่งที่บ่งบอกถึงเอกลักษณ์ของชาติ     สิละกำลังตกอยู่ในสภาวการณ์ที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง

วันอังคารที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2559

การปลุก ขิงแดง

ขิงแดง (Red ginger) เป็นไม้ดอกไม้ประดับที่ให้ดอกสีแดงสดสวยงาม และออกดอกบานนาน เป็นพันธุ์ไม้ที่เติบโตได้ดีในทุกสภาพดิน และมีความคงทนต่อสภาพอากาศ ปลูกได้ดีในที่โล่ง และแดดส่องถึง มักพบปลูกมากในสวนหย่อมหรือสวนในบ้านเรือน ในบางท้องถิ่นมีการปลูกมากเพื่อตัดดอกส่งจำหน่าย ซึ่งมีทั้งตลาดในประเทศ และตลาดต่างประเทศ สำหรับตลาดต่างประเทศที่มีการส่งจำหน่าย ได้แก่ สหรัฐอาหรับเอมิเรต บาห์เรน ซาอุดิอาระเบีย เป็นต้น
ขิงแดงจัดเป็นพืชตระกูลเดียวกันกับข่า มีลำต้นใต้ดินเรียกว่า เหง้า (rhizome) ลำต้นเหนือดินเป็นกาบใบซ้อนกันแน่น สูงประมาณ 1 ? 2 เมตร ในสภาพดินที่อุดมสมบูรณ์ และปัจจัยแวดล้อมที่เหมาะสมอาจสูงมากกว่า 3 เมตร เมื่อโตกอจะอัดแน่นเป็นกอใหญ่ แตกเหง้าออกรอบข้าง ใบมีรูปรี ดอกออกปลายยอด ประกอบด้วยกลีบดอกประดับสีแดงสดเรียงซ้อนกัน คล้ายดอกกระเจียว กลีบดอกประดับเป็นรูปไข่ปลายแหลม ส่วนดอกแท้มีลักษณะรูปกรวยสีขาว อยู่ภายในกลีบดอกประดับ ซึ่งจะแห้งภายในไม่กี่วัน เหลือแต่กลีบดอกประดับสีแดงสดใสแทน

พันธุ์ของขิงแดง ได้แก่
Red ginger : เป็นพันธุ์ขิงแดงที่ปลูก และพบได้ทั่วไป
Eileen Mcdonald : หรือเรียกชื่ออื่นว่า ขิงชมพู (Pink ginger) กลีบดอกประดับมีลักษณะสีชมพู มีช่อดอกคล้ายขิงแดง
Jungle King : มีกลีบดอกประดับสีแดง ช่อดอกมีลักษณะมน อ้วนกว่าขิงแดงพันธุ์ red ginger เล็กน้อย
Jungle Queen : มีกลีบดอกประดับสีชมพูออกจางเล็กน้อย มีช่อดอกคล้ายพันธุ์ jungle king
Tahitian  กลีบดอกประดับมีสีแดง ช่อดอกมีลักษณะเป็นแขนงจำนวนมากแตกออกจากช่อหลัก จึงมีลักษณะเป็นช่อใหญ่กว่าพันธุ์อื่นๆ
Kimi : เป็นพันธุ์ที่เกิดจากการปรับปรุงพันธุ์ขิงชมพู (Pink ginger) ที่ให้กลีบดอกประดับที่มีสีชมพู ออกแดงเล็กน้อย ลักษณะช่อดอกคล้ายขิงแดง

การขยายพันธุ์
1. การใช้เมล็ด
การขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ดเป็นวิธีการที่ไม่ได้รับความนิยม เนื่องด้วยขิงแดงจะติดเมล็ดยากมาก นอกจากต้นขิงแดงเติบโตในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม และเอื้อต่อการติดเมล็ด
2. การใช้ตะเกียง (Aerial offshoots)
ตะเกียงหรือหน่อเล็ก ๆ มักพบงอกที่ช่อดอกบริเวณโคนกลีบดอกประดับ ซึ่งเก็บสามารถหน่อเล็กๆนี้นำมาปลูกขยายต้นได้ทันที แต่แนะนำให้นำมาเพาะในถุงเพาะชำเพื่อให้หน่อติด และตั้งตัวได้เสียก่อน ก่อนนำปลูกลงแปลงใหญ่ การขยายพันธุ์ด้วยวิธีนี้ถือว่าไม่ได้รับความนิยม เนื่องด้วยปริมาณตะเกียงมีน้อยไม่เพียงพอต่อความต้องการ
3. การแยกหน่อ (Division)
หน่อใหม่เกิดแยกออกจากเหง้าต้นแม่ สามารถขุดแยกออกจากต้นแม่ โดยเลือกหน่อที่เพิ่งงอกออกใหม่ ไม่แก่มาก และหน่อที่แยกต้องมีรากติดมาด้วยจะดีที่สุด ซึ่งอาจปลูกลงแปลงทันทีที่ย้ายมาหรือปลูกใส่ถุงเพาะชำพลาสติกเพื่อให้ต้นขิงแดงตั้งตัวได้เสียก่อนก็ได้ วิธีการนี้ถือเป็นวิธีที่นิยมมากที่สุด เพราะสามารถหาหน่อใหม่ได้ง่าย เพียงพอกับความต้องการ และง่ายต่อการจัดการ นอกจากนั้น สามารถหาซื้อเหง้าพันธุ์ขิงแดงได้ตามฟาร์มหรือตลาดพันธุ์ไม้ประดับได้ด้วย

การปลูก
1. การเตรียมแปลง
พื้นที่ดอนหรือค่อนข้างแห้ง ให้เตรียมแปลงด้วยการยกร่องลึกประมาณ 30 เซนติเมตร กว้าง 60-80?เซนติเมตร แต่ละแปลงกว้างประมาณ 2-3 เมตร ส่วนความยาวตามความเหมาะสมของพื้นที่
พื้นที่ลุ่ม ดินเหนียว น้ำท่วมขังเร็ว ให้เตรียมแปลงด้วยการยกร่องลึกประมาณ 1 เมตร กว้าง 1 เมตร แปลงปลูก กว้างประมาณ 1-2 เมตร ส่วนความยาวตามความเหมาะสมของพื้นที่
2. ระยะปลูก
ควรปลูกในระยะ 1 x 1 เมตร/หลุม โดยใช้หน่อพันธุ์หรือเหง้าที่แยกออกจากต้นแม่ และเพาะในถุงเพาะชำจนติดแล้ว แต่หากใช้หน่อพันธุ์ที่ขุดใหม่ และทำการปลูกทันที ให้ใช้ประมาณ 2 หน่อ/หลุม เพื่อป้องกันการตายของหน่อหรืออีกวิธีการ คือใช้เพียง 1 หน่อ/หลุม หากหลุมใดไม่ติดให้นำหน่อมาปลูกแทนใหม่ก็ได้ หลังจากปลูกเสร็จให้รดน้ำให้ชุ่มทันที


การดูแลรักษา
การให้น้ำ
โดยสภาพทั่วไปขิงแดงจะต้องการความชื้นของดินที่สูง และมีการระบายน้ำดี จึงต้องให้น้ำอย่างเพียงพอหรือให้ในปริมาณดินยังมีความชื้นที่เหมาะสม ซึ่งระวังไม่ควรให้น้ำมากเกินไปจนเปียกชื้นแฉะหรือมีน้ำท่วมขัง ซึ่งจะให้น้ำประมาณ 1-2 ครั้ง/วัน ก็เพียงพอ

สิ่งสำคัญของการปลูกขิงแดงคือการรักษาความชุ่มชื้นในดินที่เหมาะสม ซึ่งไม่เพียงอาศัยการให้น้ำเท่านั้น แต่หากมีการจัดการแปลงปลูกที่ใส่ปุ๋ยคอกหรือเศษใบไม้ในแปลง วิธีการนี้จะช่วยรักษาความชื้นในดินได้เป็นอย่างดี รวมถึงการปลูกต้นไม้รอบแปลงจะช่วยในการรักษาความชื้นของแปลงได้ดีเช่นกัน
การให้ปุ๋ย
การปลูกขิงแดงไม่มีความจำเป็นต้องใส่ปุ๋ยเคมีมาก การใส่ปุ๋ยนั้นจะใส่ในช่วงปีแรกประมาณ 3-5 ครั้ง โดยให้ปุ๋ยคอกหรือมูลสัตว์ร่วมกับปุ๋ยเคมีสูตร 20-20-0 ในอัตราส่วน 1: 10 ประมาณ 100 กิโลกรัม/ไร่ ส่วนในช่วงหลังที่ขิงแดงแตกหน่อ และเจริญเติบโตเต็มที่ในระยะหลังปีแรก ให้ทำการใส่ปุ๋ยคอกอย่างเดียวหรืออาจใส่ผสมร่วมกับปุ๋ยเคมีสูตร 16-16-8 ในอัตราเดียวกัน โดยใส่ประมาณปีละ 2 ครั้ง ก็ได้

การกำจัดวัชพืช
การปลูกขิงแดงในช่วงแรกอาจต้องมีการกำจัดวัชพืชในแปลงบ้าง โดยเฉพาะรอบข้างกอขิงแดงที่อาจพบวัชพืชขึ้นได้ ซึ่งควรทำการถอนวัชพืชอย่างน้อย 1 ครั้ง/เดือน แต่หลังจากขิงแดงเติบโต และมีการขยายหน่อมากขึ้นมักไม่พบปัญหาเรื่องวัชพืชหรือหากพบเกิดบริเวณข้างกอขิงก็มักไม่มีผลกระทบมาก แต่ทั้งนี้ควรเผฝ้าระวังวัชพืชด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะวัชพืชที่โตเร็ว และมีลำต้นใหญ่สูงนั้นให้ทำการถอนกำจัดเป็นระยะ

การตัดแต่ง
ทำการตัดต้นที่ไม่สมบูรณ์หรือเกิดโรคแมลงทำลายทิ้ง โดยตัดดอกชิดโคนต้น เหนือดิน 2 ? 3 นิ้ว โดยให้ทำการตรวจแปลงทุกวันหรืออย่างน้อยอาทิตย์ละครั้งจะเป็นการดีที่สุด ส่วนการตัดดอกให้ใช้วิธีการเหมือนกัน โดยตัดให้ไกล้โคนต้นมากที่สุด

โรค และแมลง ไม่พบโรคที่ก่อให้เกิดความเสียหาย
แมลงที่เข้าทำลาย ได้แก่ เพลี้ยแป้ง ทำลายดอก ป้องกัน และกำจัดได้โดยตัดดอกที่ถูกทำลายทิ้ง ซึ่งควรทิ้งให้ห่างจากแปลงมากที่สุด ส่วนสารเคมีอาจใช้สารเคมี เช่น อโซดริน ฉีดพ่นทั่วแปลง
สำหรับหนอนเจาะลำต้น มักพบเจาะกินแกนอ่อนต้นขิงแดง ทำให้ปลายยอดแห้งตายซึ่งสามารถสังเกตุเห็นได้ชัดเจน การป้องกัน และกำจัดนั้นทำได้โดยตัดต้นที่ถูกหนอนเจาะกินทิ้ง การใช้สารเคมี เช่น แลนเนท ฉีดพ่นทั่วแปลง

การเก็บเกี่ยว
การตัดดอกให้คัดเลือกตัดดอกที่บานแล้วบางส่วนประมาณร้อยละ 70 ? 80 ของช่อดอกทั้งหมด โดยใช้มีดคม ๆ ตัดที่โคนต้นเหนือดิน 2 ? 3 นิ้ว พร้อมนำดอกลงแช่น้ำสะอาดในถังหรืออุปกรณ์ที่เตรียมไว้หลังจากนั้นให้ตัดใบเหลือเฉพาะใบส่วนบริเวณปลายยอด 3 ? 4 ใบ หากก้านดอกยาวให้ตัดทิ้งเหลือประมาณ 80-100 ซม. สำหรับดอกขนาดใหญ่ และดอกขนาดกลาง ส่วนดอกขนาดเล็กให้ตัดก้านดอกยาว 50-80 ซม. ทำการมัดรวมเป็นกำๆตามเหมาะสม




https://www.youtube.com/cr


วิธี การ ปลูก มะนาว



สำหรับเกษตรกรที่คิดจะปลูกมะนาวในวงบ่อซีเมนต์จำนวน 100 บ่อ จะใช้เนื้อที่ประมาณ 1 ไร่เท่านั้น ซึ่งจะใช้เงินลงทุนมากในช่วงเริ่มแรก ส่วนค่าใช้จ่ายหลักจะอยู่ที่วงบ่อซีเมนต์และฝารองซึ่งเมื่อรวมค่าใช้จ่ายกิ่งพันธุ์มะนาว, ระบบน้ำ ฯลฯ รวมเป็นเงินในการปลูกมะนาวในวงบ่อซีเมนต์จำนวน 100 วงบ่อ เป็นเงิน 27,000 บาทโดยประมาณ 


ต้นมะนาวในวงบ่อเมื่อมีอายุต้นเพียง 8 เดือน จะบังคับให้ต้นออกฤดูแล้งได้โดยใช้หลักการเดียวกับการปลูกลงดินคือคลุมพลาสติกให้กับต้นมะนาวในช่วงเดือนกันยายนและกระตุ้นการออกดอกในเดือนตุลาคมจะได้ผลผลิตมะนาวแก่ในช่วงเดือนมีนาคม-เมษายนซึ่งเป็นช่วงที่มะนาวราคาแพงที่สุดเท่ากับว่าในการปลูกมะนาวในวงบ่อซีเมนต์จะใช้เวลาเพียงปีเดียวเท่านั้นสามารถเก็บผลผลิตได้ในช่วงฤดูแล้ง

การเริ่ต้นผังปลูกมะนาวในวงซีเมนต์

รายละเอียดของการเริ่มต้นการปลูกมะนาวในวงบ่อซีเมนต์จะต้องวัดพื้นที่กว้างxยาวก่อนเพื่อจะหาพื้นที่หลังจากนั้นเว้นทางเดินประมาณ2เมตร ระยะปลูกระหว่างต้น 1.20 เมตร ระยะระหว่างแถว 1.50 เมตร ปลูกแบบแถวคู่แล้วเว้นเป็นทางเดิน 2 เมตร สภาพพื้นที่ปลูกจะต้องปรับให้เรียบเหมือนกับลานตากข้าว วัดระยะการวางวงบ่อ การวางวงบ่อซีเมนต์พยายามวางให้เป็นเลขคู่เพื่อง่ายต่อการวางระบบน้ำและคำนวณแรงดันน้ำ แท็งก์จะแบ่งออกเป็น 2 ชุด ชุดแรกจะก่อให้สูง ประมาณ 5 วงบ่อ หรือมีความจุน้ำได้ 1,200 ลิตรจะใช้แท็งก์นี้เพื่อผสมปุ๋ยน้ำชีวภาพแล้วเปิดน้ำดีเข้าไปผสมปล่อยไปให้ต้นมะนาวในวงบ่อได้โดยตรง ส่วนแท็งก์อีกชุดหนึ่งจะก่อให้สูงประมาณ 9 วงบ่อ จำนวน 2 แท็งก์ เพื่อกักเก็บน้ำสะอาดแล้วช่วยในเรื่องของแรงดัน

การเตรียมดินปลูกมะนาวขนาดวงวีเมนต์



ขนาดของวงบ่อซีเมนต์แนะนำให้เกษตรกรใช้จะใช้ขนาดวงเส้นผ่าศูนย์กลาง80เซนติเมตรแต่เดิมฝาวงบ่อคุณพิชัยใช้ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง80เซนติเมตรเท่ากับขนาดของวงบ่อเมื่อปลูกไปนาน 2-3 ปี พบว่า รากของต้นมะนาวจะโผล่ออกมานอกวงและชอนลงไปในดิน ทำให้ควบคุมในเรื่องของการบังคับให้ออกนอกฤดูได้ยากมากขึ้น ปัจจุบัน จึงได้แนะนำเกษตรกรและแก้ไขให้ซื้อฝาวงบ่อที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางยาวกว่าเส้นผ่าศูนย์กลางของวงบ่อ ใช้ฝาวงบ่อขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง ประมาณ 90 เซนติเมตร กว้างกว่า 10 เซนติเมตรดินผสมที่จะใช้ปลูกมะนาวในวงบ่อซีเมนต์ จะใช้วัสดุปลูกหลัก 3 ชนิด คือ หน้าดิน 3 ส่วน ขี้วัวเก่า 1 ส่วน และเปลือกถั่วเขียว 2 ส่วน ผสมคลุกเคล้ากัน 

การใช้เปลือกถั่วเขียวจะช่วยให้สภาพดินมีการระบายน้ำที่ดี ถ้าใช้แค่หน้าดินผสมกับขี้วัวจะทำให้ดินปลูกแน่น เวลาให้น้ำไป 3-4 วัน น้ำยังไม่ถึงข้างล่างของวงบ่อ ยังได้ยกตัวอย่างปริมาณของดินที่จะใช้ในการปลูกมะนาว จำนวน 100 วงบ่อ จะต้องใช้หน้าดินประมาณ 1 คันรถสิบล้อ เทคนิคในการผสมวัสดุปลูกจะต้องปูพื้นด้วยหน้าดินเป็นขั้นแรก หลังจากนั้น ใส่ขี้วัวเก่าเป็นชั้นที่ 2 แล้วตามด้วยเปลือกถั่วเขียวเป็นชั้นบนสุด หลังจากนั้นใช้เครื่องตีพรวนติดรถไถจะเร็วกว่าใช้แรงงานคน


วิธีการปลูกมะนาวในวงบ่อวีเมนต์ที่ถูกต้อง


หลังจากที่ใส่วัสดุปลูกลงในบ่อซีเมนต์เรียบร้อยแล้วให้เกษตรกรขุดเปิดปากหลุมให้มีขนาดเท่ากับขนาดของถุงที่ใช้ชำต้นมะนาว(โดยปกติถ้าใช้กิ่งตอนมะนาวควรจะชำต้นมะนาวไว้นานประมาณ1เดือนเท่านั้นไม่แนะนำให้ซื้อต้นมะนาวที่ชำมานานแล้วหลายเดือนหรือชำค้างปี เนื่องจากจะพบปัญหาเรื่องรากขด ทำให้เจริญเติบโตช้าหรือต้นแคระแกร็น) รองก้นหลุมด้วยปุ๋ยเคมีสูตรเสมอ เช่น สูตร 16-16-16 อัตราประมาณ 1 กำมือ ถอดถุงดำปลูกต้นมะนาวให้พอดีกับระดับดินเดิม กลบดินแล้วใช้เท้าเหยียบรอบๆ ต้น เพื่อไม่ให้โยกคลอน ปักไม้เป็นหลักกันลมโยกและแนะนำให้ใช้ตอกมัดต้นมะนาวไว้กับหลัก ตอกจะผุเปื่อยหลังจากปลูกไปนานประมาณ 2 เดือน ต้นมะนาวตั้งตัวได้แล้ว แต่ที่หลายคนได้ใช้ปอฟางหรือพลาสติคทาบกิ่งมัดกับหลักจะอยู่ได้นานก็จริง แต่ปัญหาที่จะตามมาจะทำให้ลำต้นมะนาวคอด มีผลต่อการเจริญเติบโตของต้น หลังจากปลูกเสร็จให้เดินท่อ PE เจาะหัวมินิสปริงเกลอร์และวางท่อ PE พาดไปกับวงบ่อเลยเพื่อสะดวกต่อการทำงาน


ปลูกมะนาวในวงซีเมนต์ได้ตลอดทั้งปี
ในการปลูกมะนาวในวงบ่อซีเมนต์สามารถปลูกได้ตลอดทั้งปีปลูกไปแล้วนับไปอีก8เดือนเกษตรกรสามารถบังคับให้ต้นออกดอกได้ถ้าเกษตรกรจะบังคับให้มะนาวออกฤดูแล้งในรุ่นแรกแนะนำให้ปลูกต้นมะนาวในช่วงเดือนมกราคมในช่วงเดือนกันยายน-ตุลาคมในปีเดียวกันบังคับต้นให้ออกดอกได้โดยใช้หลักการเหมือนกับที่ปลูกลงดินผลผลิตมะนาวฤดูแล้งจะไปแก่และเก็บผลผลิตขายได้ราคาแพงในช่วงเดือนมีนาคม-เมษายนของปีถัดไป เท่ากับว่าการปลูกมะนาวในวงบ่อซีเมนต์ใช้เวลาปลูกเพียงปีเศษเท่านั้น เกษตรกรสามารถเก็บมะนาวฤดูแล้งขายได้


https://www.youtube.com/cr

วันเสาร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

ประโยชน์ของชาเขียว














สาร epigallocatechin gallate (EGCG) ที่พบได้มากในชาเขียว มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ช่วยในการขับสารพิษในร่างกาย สามารถกวาดล้างอนุมูลอิสระที่เป็นตัวกัดกร่อน DNA ในกระแสเลือดลงได้ จึงส่งผลในการช่วยป้องกันความเสื่อมของเซลล์และอวัยวะต่าง ๆ ภายในร่างกาย จนมีสุภาษิตจีนโบราณที่กล่าวไว้ว่า “ขาดอาหารสามวันยังดีเสียกว่า ขาดชาเพียงวันเดียว” และชาเขียวยังมีประโยชน์อย่างมากสำหรับผู้อยู่ในภาวะเครียดจากการทำงานสูง และผู้ที่อยู่ในโปรแกรมการกำจัดไขมันหรือลดน้ำหนักดังจะได้กล่าวในข้อถัดไป
มีการพิสูจน์แล้วว่าสารต้านอนุมูลอิสระในชาเขียวสามารถช่วยชะลอความแก่ชราและช่วยคงความอ่อนเยาว์ไว้ได้
แม้ว่าในอาหารอื่น ๆ จะมีคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระ เช่น วิตามินซี วิตามินบี เบต้าแคโรทีน แต่เมื่อเปรียบเทียบกันแล้วจะพบว่าคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระของโพลีฟีนอลในชาเขียวจะเหนือกว่า
การดื่มชาเขียวนอกจากจะดื่มเพื่อแก้กระหายแล้ว ในชาเขียวยังมีคาเฟอีน (Caffeine) และธิโอฟิลลีน (Theophylline) ซึ่งเป็นสารที่มีฤทธิ์กระตุ้นการทำงานของระบบประสาทส่วนกลาง ที่ช่วยแก้อาการง่วงนอนและทำให้ร่างกายรู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่า คาเฟอีนยังช่วยกระตุ้นสมอง เพิ่มสมาธิ เพิ่มอัตราการเผาผลาญในร่างกาย เพิ่มความดันโลหิต ช่วยระทำให้ระบบหมุนเวียนโลหิตทำงานดีขึ้น และยังมีสารจำพวก alcohol และ aldehyde ที่มีกลิ่นหอมทำให้รู้สึกผ่อนคลาย
มีงานวิจัยมากมายที่สนับสนุนได้ว่าการดื่มชาเขียวจะช่วยเพิ่มการเผาผลาญพลังงานและไขมันได้ จึงส่งผลต่อการควบคุมน้ำหนักของร่างกาย และยังมีงานวิจัยที่แสดงให้เห็นว่า การดื่มชาเขียวสามารถช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลโดยรวมได้ และยังช่วยลดระดับไขมันเลว (LDL) เพิ่มไขมันดี (HDL) ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย ดังนั้นการดื่มชาเขียวจึงสามารถช่วยลดความอ้วนได้ โดยมีรายงานการทดลองที่แสดงให้เห็นว่าอาสาสมัครชาวญี่ปุ่นที่ดื่มชาเขียววันละ 9 ถ้วย สามารถลดระดับคอเลสเตอรอลได้เฉลี่ย 8 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร ส่วนผลการศึกษาจากมหาวิทยาลัยเจนีวา ในสวิสเซอร์แลนด์ ที่ได้ตีพิมพ์ลงในวารสาร The American Journal of Clinical Nutrition ในเดือนพฤศจิกายน ปี 1999 นักวิจัยได้พบว่า ผู้ที่ดื่มคาเฟอีนและชาเขียว จะมีอัตราการเผาผลาญแคลอรี่มากกว่าคนที่ได้รับคาเฟอีนเพียงอย่างเดียว ในขณะที่อีกงานวิจัยหนึ่งได้พบว่า คนที่มีระดับคอเลสเตอรอลค่อนข้างสูง เมื่อเสริมด้วยชาสกัดจากชาเขียวและชาดำ เป็นเวลานาน 3 เดือน จะมีระดับคอเลสเตอรอลที่ลดลงถึง 16% แต่สิ่งที่น่าใจก็คือ ผลการวิจัยโดยใช้แต่สารสกัดจากชาเขียว ไม่พบว่าช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลได้ แต่ก็ยังไม่แน่ใจว่าการเติมชาดำเข้าไปจะทำให้ผลวิจัยประสบความสำเร็จ
ชาเขียวกับการลดน้ำหนัก การดื่มชาเขียววันละ 2 ถ้วย สามารถช่วยลดการเกิดไขมันส่วนเกินและทำให้รู้สึกอิ่มได้ ซึ่งจากการทดลองในหนูทดลอง โดยให้หนูบริโภคอาหารตามปกติและเสริมด้วยสารสกัดจากเชียว พบว่าการสะสมของไขมันในหนูทดลองลดลง เมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุม แต่เมื่อให้อาหารเสริมชาเขียวต่อไปนาน ๆ ปริมาณของไขมันกลับไม่ลดลงต่ำจนผิดปกติ ส่วนการศึกษาในกลุ่มตัวอย่าง โดยการให้รับประทานชาเขียวสกัดวันละ 1,500 มิลลิกรัม ติดต่อกันเป็นเวลา 3 เดือน พบว่ากลุ่มตัวอย่างมีน้ำหนักตัวลดลงโดยรวมประมาณ 4.6% หรือประมาณ 3.5 กิโลกรัม และรอบเอวลดลงโดยรวม 4.48% หรือประมาณ 1.6 นิ้ว จากการศึกษานี้ยังได้สรุปถึงกลไกการทำงานของชาเขียวสกัดในการลดน้ำหนักไว้ว่า เขียวสามารถช่วยยับยั้งเอนไซม์ไลเปสจากกระเพาะอาหารและตับอ่อน ทำให้การย่อยไขมันลดลง ส่งผลให้ไขมันดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้น้อยลง จึงช่วยลดการสะสมของไขมันใหม่ได้ อีกทั้งยังช่วยกระตุ้นระบบการเผาผลาญในร่างกาย โดยการยับยั้งเอนไซม์ที่จะไปทำลาย Norepinephrine จึงทำให้ Norepinephrine อยู่ในร่างกายและออกฤทธิ์ได้นานขึ้น ส่งผลทำให้การเผาผลาญไขมันในร่างกายมีเพิ่มมากขึ้น
สาร EGCG สามารถช่วยกำจัดไขมันคอเลสเตอรอลในหลอดเลือด จึงส่งผลช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคความดันโลหิตสูงจากการอุดตันของไขมันในหลอดเลือดได้
ช่วยลดและควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด จึงช่วยในการป้องกันและชะลอการเกิดโรคเบาหวานได้ เพราะสาร catechins ในชาเขียวมีประสิทธิภาพในการจำกัดการทำงานของ amylase enzyme ทำให้ไม่สามารถดูดซึมน้ำตาลกลูโคสเข้าสู่ร่างกายได้ ส่งผลทำให้น้ำตาลในเลือดไม่สูงขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับการทดสอบในหนูทดลองที่พบว่า catechins สามารถช่วยลดระดับกลูโคสและระดับอินซูลินในเลือดได้ และเมื่อทำการวิจัยกับอาสาสมัครโดยให้ catechins ในขนาด 300 มิลลิกรัม แล้วตามด้วยการบริโภคแป้งข้าว 50 กรัม พบว่าระดับของกลูโคสและระดับของอินซูลินในเลือดไม่สูงขึ้นตามที่ควรจะเป็น
การดื่มชาเขียวมีผลช่วยลดอัตราความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งต่าง ๆ ได้ โดยผู้ที่ดื่มชาเขียวเป็นประจำจะมีอัตราการเป็นมะเร็งปอด มะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้ มะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งหลอดอาหาร มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งตับอ่อนต่ำกว่าผู้ที่ไม่ได้ดื่ม โดยมีสาร EGCG เป็นสารต้านพิษ และช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง ช่วยฆ่าเซลล์มะเร็ง โดยไม่ทำลายเนื้อเยื่อส่วนดี (แต่ยังไม่มีงานวิจัยที่ยืนยันได้ว่าชาเขียวสามารถรักษาโรคมะเร็งได้) ซึ่งในปี 1994 วารสารของสถาบันมะเร็งแห่งชาติ ได้ตีพิมพ์ผลการศึกษาที่แสดงให้เห็นว่าการดื่มชาเขียวสามารถช่วยลดอัตราเสี่ยงของโรคมะเร็งหลอดอาหารในหมู่ชาวจีนทั้งหญิงและชายได้เกือบถึง 60% ส่วนนักวิจัยจากมหาวิทยาปูร์ดู ได้สรุปว่า สารประกอบในชาเขียวสามารถช่วยยับยั้งการเติบโตของเซลล์มะเร็งได้ ส่วนนิตยสาร Herbs for Health ได้อ้างตัวอย่างรายงานจากญี่ปุ่นว่าคนที่ดื่มชาเขียว 10 แก้วต่อวัน จะปลอดโรคมะเร็งนานกว่าคนที่ดื่มชาเขียวน้อยกว่า 3 แก้วต่อวัน ถึง 3 ปี (ในชาเขียว 3 แก้ว มีโพลีฟีนอลประมาณ 240-320 มิลลิกรัม) ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของนักวิทยาศาสตร์ชาวญี่ปุ่นที่สถาบันวิจัยมะเร็ง Saitama ที่สรุปว่า การเกิดโรคมะเร็งเต้านมหรือการขยายตัวของโรคนั้นจะน้อยลง หากในประวัติผู้หญิงคนนั้นมีการดื่มชาเขียว 5 ถ้วย หรือมากกว่านั้นต่อวัน และจากรายงานการแพทย์ของญี่ปุ่นในปี ค.ศ.1982 และ 1987 ได้พบว่าในแถบจังหวัดมิซูโอกะ ซึ่งเป็นถิ่นที่มีการดื่มชาเขียวกันมาก มีอัตราการเกิดโรคมะเร็งในกระเพาะอาหารอยู่ในระดับต่ำกว่าเกณฑ์เฉลี่ย ส่วนรายงานจากทีมวิทยาศาสตร์จากศูนย์กลางการวิจัยโรคมะเร็ง ในบริติช โคลัมเบีย ได้สรุปว่าสารคาเทชินในชาเขียวสามารถยับยั้งการสร้างไรโตรซามีนซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งได้ นอกจากนี้ยังมีการการทดลองในหนูทดลองเพื่อศึกษาประสิทธิภาพในการป้องกันโรคมะเร็งชนิดต่าง ๆ โดยให้หนูทดลองบริโภคสารละลายโพลีฟีนอลแต่ละชนิด และฉีดสารก่อมะเร็งเอ็นเอ็นเคเข้าไป ผลปรากฏว่าสารโพลีฟีนอล EGCG ที่พบมากในชาเขียวสามารถลดอัตราการก่อตัวเป็นมะเร็งได้ดีที่สุด โดยนักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า catechins มีบทบาทช่วยลดภาวะเป็นพิษของสารก่อมะเร็งบางชนิด แทรกแซงกระบวนเกาะยึดตัวของสารก่อมะเร็งต่อ DNA ของเซลล์ปกติ มีฤทธิ์เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ทรงพลัง ช่วยเสริมการทำงานของสารต้านอนุมูลอิสระและเอนไซม์อื่น ๆ และช่วยจำกัดการลุกลามของเซลล์เนื้องอก
การวิจัยเมื่อปี 1997 ของมหาวิทยาลัยแคนซัส ได้สรุปว่า EGCG นั้นมีฤทธิ์แรงเท่ากับ Resveratrol ถึงเกือบ 2 เท่า ซึ่งเป็นการอธิบายว่า ทำไมชาวญี่ปุ่นจึงมีอัตราเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจค่อนข้างต่ำ แม้ว่ามากกว่า 75% ของชาวญี่ปุ่นจะสูบบุหรี่ก็ตาม แล้วทำไมชาวฝรั่งเศสจึงมีอัตราเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจน้อยกว่าชาวอเมริกัน ทั้ง ๆ ที่บริโภคอาหารที่มีไขมันสูงเช่นกัน สาเหตุก็เป็นเพราะชาวฝรั่งเศสชอบดื่มไวน์แดง ซึ่งมีสาร Resveratrol ที่เป็นโพลีฟีนอล ที่ช่วยลดอันตรายจากการสูบบุหรี่และรับประทานอาหารที่มีไขมันสูงนั่นเอง
ชาเขียวมีฤทธิ์ต่อต้านและยับยั้งการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ จากข้อมูลในปัจจุบันได้แนะนำว่าการบริโภคอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสามารถช่วยลดการเกิดโรคหัวใจ เพราะสารต้านอนุมูลอิสระจะไปยับยั้งขบวนการออกซิเดชั่นของไขมัน อันจะนำไปสู่การลดการลดการเกิดของหลอดเลือดแข็งตัว (antherosclerosis) และลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจได้ในที่สุด
สาร EGCG สามารถช่วยยับยั้งการก่อตัวแบบผิดปกติของก้อนเลือด ซึ่งเป็นสาเหตุของอาการหัวใจวายและลมชักได้ และจากผลการวิจัยอื่น ๆ ยังพบอีกว่าชาเขียวนั้นมีสรรพคุณเทียบเท่ากับยาแอสไพรินในการยับยั้งการแข็งตัวของเลือดที่ผิดปกติ ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของโรคหัวใจวายและหลอดเลือดสมอง
สารไทอะนีน (Theanine) เป็นกรดอะมิโนที่ทำชาเขียวมีรสกลมกล่อม สามารถช่วยควบคุมการทำงานของสมองและลดความดันโลหิตได้
นอกจากชาเขียวจะมีสาร EGCG แล้ว ชาเขียวยังมีสารอื่น ๆ ที่สำคัญอีกมากมาย เช่น วิตามินและเกลือแร่ต่าง ๆ ซึ่งจำเป็นต่อร่างกาย สารคลอโรฟิลล์ (Chlorophyll) ที่มีประโยชน์ต่อขบวนการสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดง และช่วยในการจับสารพิษตกค้างออกจากร่างกาย
มหาวิทยาลัย Cleveland’s Western Reserve ได้สรุปว่า การดื่มชาเขียว 4 แก้วหรือมากกว่านั้น จะช่วยป้องกันโรคปวดข้อหรือลดอาการปวดในกรณีของคนที่ป่วยอยู่แล้ว
เมื่อไม่นานมานี้ได้มีการศึกษาที่พบว่า สารประกอยหลัก (EGCG) ที่พบในชาเขียวมีบทบาทสำคัญในการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีได้ ซึ่งได้ตีพิมพ์ในวารสารวิทยาภูมิคุ้มกันทางการแพทย์และโรคภูมิแพ้ โดยผลการทดลองได้แสดงให้เห็นว่า ชาเขียวเข้มข้นสามารถช่วยป้องกันไม่ให้เชื้อไวรัสเอชไอวีจับตัวกับเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดที่มีความสำคัญต่อภูมิคุ้มกันในร่างกายของเรา (T cells) ซึ่งเป็นด่านแรกที่ทำให้มีโอกาสติดเชื้อเอชไอวีได้ ถ้ามีผลการศึกษาเพิ่มเติมยืนยันการวิจัยดังกล่าว ก็อาจจะนำสารในชาเขียวมาใช้ทดลองในการผลิตยาเพื่อป้องกันการลุกลามของเชื้อเอชไอวีต่อไป
จากงานวิจัยของมหาวิทยาลัยในฮ่องกง ได้พบว่าสารคาเทาชินสามารถส่งเสริมการเจริญเติบโตของกระดูกได้ถึง 79% โดยไม่มีอันตรายใด ๆ ต่อกระดูก ดังนั้นการดื่มชาเขียวอาจช่วยส่งเสริมสุขภาพของกระดูก ช่วยป้องกันและรักษาโรคกระดูกพรุนหรือโรคทางกระดูกอื่น ๆ ได้
ชาเขียวยังช่วยป้องกันฟันผุได้ด้วย เพราะชาเขียวมีความสามารถในการทำลายแบคทีเรีย สามารถป้องกันอาหารเป็นพิษ และยังช่วยฆ่าแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดคราบพลัคในช่องปากได้อีกด้วย ซึ่งจากการทดสอบในห้องปฏิบัติการพบว่า สาร catechins สามารถช่วยยับยั้งกระบวนการผลิตกลูแคนของเชื้อ Streptococcus mutans ในช่องปากได้อย่างมีประสิทธิภาพ (เชื้อชนิดนี้เป็นสาเหตุของการเกิดฟันผุ) จึงอาจกล่าวได้ว่าการดื่มชาเขียวหลังมื้ออาหารจะสามารถป้องกันโรคฟันผุได้เป็นอย่างดี
ชาเขียวสามารถช่วยลดกลิ่นปากและแบคทีเรียในช่องปากได้ โดยช่วยทำให้ลมหายใจหอมสดชื่นและป้องกันการติดเชื้อ ซึ่งจากการศึกษาของมหาวิทยาลัยเพส สหรัฐอเมริกา พบว่าสารสกัดจากชาเขียวมีสรรพคุณช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียและทำลายจุลินทรีย์ที่เป็นสาเหตุของโรคต่าง ๆ
มีงานวิจัยที่ระบุว่าถุงชา (tea bag) สามารถช่วยบำบัดโรค “sick-house syndrome” หรือ มลภาวะภายในอาคารเป็นพิษ (Indoor Air Pollution) ซึ่งเป็นอาการป่วยที่มีสาเหตุมาจากการแพ้อากาศภายในอาคารหรือที่อยู่อาศัย เช่น สารเคมีจากสีทาบ้าน เฟอร์นิเจอร์ที่มีสาร formaldehyde ซึ่งผสมอยู่ในสารเคมีเพื่อการตกแต่งบ้าน ซึ่งจากการทดลองพบว่าใบชาเขียวหรือดำ ทั้งใหม่และแบบที่ชงแล้ว สามารถช่วยดูดสารนี้ไว้แล้วไม่ปลดปล่อยสารกลับเข้าสู่บรรยากาศหลังจากดูดไว้แล้ว วิธีการก็ถือให้ทิ้งใบชาไว้ที่อับ เช่น ในตู้เก็บถ้วยชาม ใบชาจะลดปริมาณของสาร formaldehyde ที่มีอยู่ในอากาศได้ชาเขียวยังช่วยรักษาผิวที่ถูกแสงแดดทำลายได้ด้วย นี่จึงเป็นเหตุว่าทำไมครีมหลายชนิดจึงมีชาเขียวส่วนประกอบ
ชาเขียวกับความงาม สูตรน้ำแร่ชาเขียว ชั้นตอนแรกให้นำน้ำแร่มาต้มให้เดือด แล้วใส่ผงชาเขียวหรือใบชาเขียวลงไป แล้วทิ้งไว้ให้เย็น (ถ้าใช้ใบชาควรกรองเอาแต่น้ำ) เสร็จแล้วเทน้ำใส่ขวดสเปรย์ ใช้เป็นสเปรย์น้ำแร่ชาเขียว โดยนำมาใช้ฉีดหน้าได้ทุกเวลาที่ต้องการ โดยจะช่วยเพิ่มความชุ่มชื่นและความเปล่งปลั่งให้กับผิวหน้าของคุณได้เป็นอย่างดี ส่วนอีกสูตรคือ สูตรถนอมผิวรอบดวงตาด้วยชาเขียว ขั้นตอนแรกให้ต้มชาเขียวกับน้ำเดือด แล้วนำไปแช่ในตู้เย็นให้เย็นจัด แล้วใช้สำลีชุบชาเขียวให้เปียกชุ่ม แล้วนำมาวางบริเวณเปลือกตาทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที วิธีนี้จะช่วยลดริ้วรอยจากความอ่อนล้าของผิวรอบดวงตา และยังช่วยลดอาการบวมของเปลือกตาและถุงใต้ตาได้ด้วย ซึ่งจะช่วยทำให้ผิวนุ่มนวลและดูสดชื่น
ในปัจจุบันผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับชาเขียวก็มีวางจำหน่ายในหลากหลายรูปแบบ โดยผู้ผลิตได้คิดค้นผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ที่มีส่วนผสมของสารสกัดจากชาเขียวหลั่งไหลออกมาสู่ท้องตลาดเป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์ถนอมผิว เครื่องสำอางต่าง ๆ สบู่ เกลืออาบน้ำ น้ำยาดับกลิ่นตัว ครีมบำรุงผิว โลชั่น ยาสีฟัน น้ำยาบ้วนปาก ฯลฯ
ชาเขียวยังนิยมนำมาใช้เพื่อปรุงแต่งกลิ่น สี และรสชาติของอาหาร เพื่อตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของผู้บริโภค โดยจัดเป็นสารให้กลิ่นรสจากธรรมชาติที่ได้รับความนิยมมากชนิดหนึ่ง ส่วนผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบของชาเขียวรูปของอาหาร ได้แก่ เค้ก ขนมปัง ขนมขบเคี้ยว ช็อกโกแลต ลูกอม หมากฝรั่ง ฯลฯ และยังถูกนำมาใช้ในผลิตภัณฑ์ที่มีไขมันและน้ำมัน เพื่อป้องกันไม่ให้เหม็นหืนเร็ว จนมีการศึกษาวิจัยถึงความเป็นไปได้ที่จะนำสารสกัดจากชาเขียวมาใช้เป็นสารกันบูดสำหรับอาหารสด รวมไปถึงการนำชาเขียวมาผสมกับเส้นใยผ้า สำหรับเสื้อผ้า ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว เป็นต้น และยังมีการนำไปใช้เป็นส่วนผสมในแผ่นใยกรองอากาศสำหรับเครื่องปรับอากาศ ซึ่งก็นับว่าเป็นการเพิ่มช่องทางพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ หรือเป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ได้
ผลิตภัณฑ์ชาเขียว

วิธีการชงชาเขียว
การชงชาเขียว ถ้าหากชงไม่ดีหรือชงนานเกินไป สารโพลีฟีนอลจะเป็นตัวทำลายรสชาติของชาจนทำให้ชามีรสชาติเหมือนหญ้าได้ ดังนั้นจึงไม่ควรชงชาเขียวนาน ๆ การชงชาเขียวให้มีรสชาติที่ดีนั้นมีเคล็ดลับง่าย ๆ ก็คือ ให้ใช้ชา 1 ถุง (ประมาณ 2-4 กรัม) ต่อถ้วย นำมาชงในน้ำเดือด ทิ้งไว้ประมาณ 3 นาที จากนั้นให้เทน้ำร้อนลงบนถุงชา และทิ้งไว้อีก 3 นาที แล้วค่อยนำถุงชาออก และปล่อยให้ชาเย็นลงอีกประมาณ 3 นาที

การดื่มชาเขียว
การบริโภคชาเขียวที่ถูกต้อง คือ การบริโภคชาเขียวในรูปแบบการชงชาดื่มเอง เพราะนอกจากจะได้รับรสชาติและกลิ่นหอมแท้จากชาเขียวแล้วยังได้รับประโยชน์จากสารต้านอนุมูลอิสระที่ดีกว่าการแบบเครื่องดื่มชาเขียวสำเร็จรูป
ซึ่งจะมีส่วนผสมของน้ำตาลและปริมาณของชาเขียวที่เจือจาง โดยชาเขียวร้อน 1 ถ้วย จะมี EGCG ประมาณ 100-200 มิลลิกรัม ในขณะที่เครื่องดื่มชาเขียวสำเร็จจะมีปริมาณของใบชาที่น้อยมากอยู่แล้ว จึงทำให้มีสารสำคัญน้อยลงตามไปด้วย ถ้าจะดื่มเพื่อให้ประโยชน์จากสาร EGCG ก็อาจจะต้องดื่มหลายขวดต่อวัน ซึ่งแทนที่เราจะได้รับประโยชน์ก็อาจจะทำให้เสียสุขภาพเนื่องจากร่างกายได้รับน้ำตาลที่สูงเกินไปแทน ดังนั้นจึงไม่ควรดื่มชาเขียวสำเร็จรูปบ่อยจนเกินไป แต่ให้ดื่มเพื่อดับกระหายเพียง 1-2 ครั้งต่อวัน และไม่ควรดื่มติดต่อกันทุกวันก็พอ
โดยหลักการแล้วเราจะได้รับสารต้านอนุมูลอิสระซึ่งเป็นสารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายจากชาเขียวมากที่สุด คือ การดื่มชาเขียวร้อน ในอุณหภูมิที่เหมาะสม ซึ่งจากงานวิจัยได้ระบุว่า การต้มชาเขียวในน้ำร้อนอุณหภูมิประมาณ 70-78 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 2-4 นาที จะตรวจพบสารต้านอนุมูลอิสระที่ยังคงอยู่ในปริมาณสูงที่สุด
ในแต่ละวันไม่ควรดื่มชาเขียวเกิน 10-12 ถ้วย เพราะชาเขียวมีคาเฟอีน การดื่มในปริมาณมากจะส่งผลให้นอนไม่หลับได้ (ส่วนชาเขียวแบบปราศจากคาเฟอีนก็มีวางจำหน่ายอยู่บ้าง แต่ค่อนข้างหาซื้อได้ยาก) ส่วนการดื่มในปริมาณที่เหมาะสมจากการชงใบชา คือ ประมาณ 1-2 ช้อนชาในน้ำร้อน วันละ 3 ถ้วย โดยให้ดื่มระหว่างมื้ออาหาร เพื่อให้ได้ประโยชน์ต่อสุขภาพและไม่ส่งผลเสียต่อร่างกาย ส่วนงานวิจัยของมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียนั้นได้ระบุเรื่องคุณสมบัติของการป้องกันมะเร็งของชาเขียวไว้ โดยพบว่าคนเราสามารถได้รับปริมาณโพลีฟีนอล (Polyphenols) ในปริมาณที่ต้องการได้โดยการดื่มชาเขียวเพียง 2 ถ้วยต่อวัน ส่วนหนังสือวิตามินไบเบิลได้ระบุว่า เพื่อให้ได้ผลดีต่อสุขภาพากการดื่มชาเขียวอย่างครบถ้วน คุณจะต้องดื่มชาเขียวประมาณวันละ 5-10 ถ้วย (ชาเขียวสกัดหนึ่งเม็ดจะมีค่าเท่ากับชาเขียวหนึ่งถ้วยครึ่ง) แต่บริษัทผู้ค้าชาเขียวชนิดแคปซูลกลับระบุว่า หากต้องการให้ได้ประโยชย์อย่างสูงสุดในแต่ละวัน จะต้องดื่มชาเขียวถึงวันละ 10 ถ้วยเลยทีเดียว ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลของ นพ.บรรจบ ชุณหสวัสดิกุล ผู้เชี่ยวชาญการแพทย์ธรรมชาติบำบัด ที่กล่าวว่า การรับประทานชาเขียวให้ได้สารต้านอนุมูลอิสสระ จะต้องชงชาเขียวเข้มข้นแบบญี่ปุ่นและต้องดื่มชาเขียวอย่างน้อยวันละ 20 แก้ว เป็นประจำทุกวัน จึงจะสามารถป้องกันโรคมะเร็งได้ ซึ่งในทางปฏิบัตินั้นอาจทำได้ยาก และยิ่งเป็นชาเขียวสำเร็จรูปที่เป็นชาเขียวแบบเจือจาง (แต่โฆษณาแบบเต็ม ๆ) ทั้งยังปรุงรสแต่งกลิ่นและรสด้วยน้ำตาล การดื่มมาก ๆ ก็อาจทำให้เกิดโรคอ้วนได้ แต่ไม่ว่าใครจะว่าอย่างไรก็ตาม การดื่มชาเขียวแบบชงเพียง 3-5 ถ้วยต่อวัน ก็ดูจะปลอดภัยและเป็นประโยชน์กับร่างกายที่สุด
องค์การอนามัยโลกได้แนะนำว่าควรดื่มชาในระหว่างอาหารเพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุด หลังจากดื่มชาไปแล้วประมาณ 30-50 นาที antioxidant activity ในเลือดจะพุ่งพรวดขึ้นไปที่ประมาณ 41-48% และจะคงอยู่เช่นนั้นนานประมาณ 80 นาที ซึ่งการที่เลือดมี antioxidant activity สูงขึ้นย่อมทำให้อนุมูลอิสระในร่างกายถูกขจัดไปเป็นจำนวนมาก ซึ่งก็หมายถึงการมีสุขภาพที่ดีขึ้นนั่นเอง
ไม่ควรดื่มน้ำชาร่วมไปกับการรับประทานอาหาร เพราะแร่ธาตุจากผักใบเขียวหรือจากผลไม้จะถูกสารสำคัญจากชาดักจับไว้หมด ไม่ให้ดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย
สำหรับผู้ที่รับประทานวิตามินเสริม เช่น ธาตุเหล็ก เกลือแร่ หรือยาที่คล้ายคลึงกัน ควรหลีกเลี่ยงการดื่มชาร่วมไปด้วย เพราะสารสำคัญในใบชาเขียวจะไปตกตะกอนธาตุเหล็กหรือเกลือแร่ไม่ให้ถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย
การดื่มชาร้อน ๆ จะทำให้สารสำคัญที่มีประโยชน์ คือ “คาเทชิน” จะถูกความร้อนทำลายไปเกือบหมด จนเหลือแต่รสชาติและความหอม แต่ถ้าต้องการให้ร่างกายได้รับประโยชน์จากการดื่มชาแบบร้อน ๆ ก็ควรดื่มน้ำชาที่เข้มข้น เพราะความเข้มข้นของใบชาที่เพิ่มขึ้นจะทำให้ปริมาณของสารคาเทชินเพิ่มขึ้นไปด้วย แม้ว่าสารเหล่านี้จะสลายตัวไปบางส่วนเมื่อถูกความร้อนก็ตาม แต่ก็ยังคงมีบางส่วนที่หลงเหลือพอที่จะให้ประโยชน์ต่อสุขภาพได้บ้าง ส่วนข้อมูลจาก นพ.กฤษดา ศิรามพุช ผอ.สถาบันเวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ ได้ระบุว่า การดื่มชาร้อนนั้นมีผลการวิจัยที่ระบุว่า สารต้านอนุมูลอิสระในชาจะหายไปประมาณ 20% หากโดนความร้อนนาน ๆ และให้เคล็ดลับการชงชาเขียวเพื่อให้สารต้านอนุมูลอิสระยังคงอยู่ ด้วยการบีบน้ำมะนาวลงไปในระหว่างการชงชา
ชาเขียวหากนำมาเตรียมเป็นเครื่องดื่มแช่เย็น ความเย็นจะช่วยรักษาคุณค่าของสารสำคัญในชาเขียวได้ (แบบชงเอง) แต่อย่างไรก็ตามหากเป็นเครื่องดื่มชาเขียวสำเร็จรูป ขบวนการผลิตก็ต้องผ่านการต้มหรือทำให้ร้อน และต้องผ่านขบวนการฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ก่อนนำมาบรรจุลงในขวด จึงทำให้ปริมาณของสารสำคัญถูกทำลายไปด้วย
การดื่มน้ำชา ไม่ควรแต่งรสด้วยนมทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นนมสด นมข้น หรือนมผง เพราะโปรตีนจากนมจะไปจับกับสารสำคัญในชา และไปทำลายประสิทธิภาพของสารออกฤทธิ์ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ซึ่งวิธีการดื่มชาเขียวที่ดีที่สุดก็คือการดื่มแต่น้ำชาล้วน ๆ ไม่ต้องปรุงแต่งอะไรเพิ่มเติม
ในปัจจุบันเพื่อความสะดวกในการทานชาเขียว จึงมีผลิตภัณฑ์ชาเขียวสกัดให้เลือกสรรกันมากมาย สำหรับเทคนิคในการเลือกซื้อ ควรพิจารณาเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่มีความเข้มข้นของชาเขียวที่สูงเพียงพอต่อการดูแลสุขภาพ เพราะชาเขียวบางยี่ห้อจะมีสารสำคัญอยู่น้อยมาก แต่กลับอวดอ้างสรรพคุณเกินจริง ที่สำคัญควรผลิตจากโรงงานที่รับมาตรฐาน เชื่อถือได้ ซึ่งในขนาดที่แนะนำให้รับประทานเพื่อการดูแลสุขภาพของสารสกัดจากชาเขียวคือวันละประมาณ 750-1,500 มิลลิกรัม ส่วนในด้านความปลอดภัยนั้น สารสกัดจากชาเขียว ได้รับการรับรองความปลอดภัยจากสำนักงานอาหารและยาของสหรัฐอเมริกาแล้ว (GRAS)
น้ำชาเขียว

ข้อควรระวังในการดื่มชาเขียว
สำหรับผู้ที่ไม่ควรบริโภคชาเขียวหรือควรปรึกษาแพทย์ก่อนการบริโภค ได้แก่ ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับโรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง เป็นโรคไต เป็นไฮเปอร์ไทรอยด์ ผู้ที่มีอาการนอนไม่หลับ ผู้ที่มีเลือดออกผิดปกติหรือมีการแข็งตัวของเลือดที่ผิดปกติ ผู้ป่วยที่กำลังรับประทานยาละลายลิ่มเลือด สตรีมีครรภ์ กระเพาะอาหารอักเสบ รวมไปถึงผู้ที่กังวลง่ายหรือมีอาการผิดปกติทางระบบประสาท
จากงานวิจัยหลายชิ้นได้ระบุว่า อุณหภูมิและเวลามีผลต่อการลดลงของสารต้านอนุมูลอิสระที่มีอยู่ในชาเขียว ซึ่งบางบทความที่เผยแพร่ในบ้านเรา ได้ระบุว่า “เป็นเรื่องน่าห่วงสำหรับคนไทยนิยมที่ดื่มชาเขียวแช่เย็นที่มีขายตามท้องตลอด ซึ่งในประเทศที่ดื่มชาเขียวเป็นประจำอย่างญี่ปุ่นเขาจะไม่ทำกัน เพราะชาเขียวจะมีประโยชน์ต่อร่างกายในขณะที่ยังร้อนอยู่เท่านั้น ในทางกลับกันก็เป็นโทษต่อร่างกายหากดื่มชาเขียวแช่เย็น เพราะนอกจากจะไม่ช่วยในการต้านอนุมูลอิสระและขับสารพิษออกจากร่างกายแล้วยังก่อให้เกิดการเกาะตัวแน่นของสารพิษดังกล่าวอันเป็นสาเหตุของมะเร็ง นอกจากนี้ชาเขียวเย็นยังส่งผลให้ไขมันในร่างกายก่อตัวมากขึ้นตามผนังหลอดเลือด และไปอุดตันตามผนังลำไส้ ทำให้เกิดโรคต่าง ๆ ตามมามากมาย เช่น หลอดเลือดหัวใจอุดตัน เส้นเลือดตีบ มะเร็งลำไส้ ฯลฯ เป็นต้น” แม้ว่าจะไม่มีงานวิจัยรองรับว่าการดื่มชาเขียวเย็นจะเป็นโทษต่อร่างกายมากมายขนาดนั้นก็ตาม แต่บางข้อมูลกลับระบุว่าการดื่มชาเขียวร้อนหรือเย็น (แบบชงเอง) ไม่น่าจะมีความแตกต่างกัน
การบริโภคชาเขียวในปริมาณสูงและติดต่อกันเป็นระยะเวลานานอาจส่งผลเสียต่อตับได้ เพราะมีรายงานการวิจัยในหนูเม้าส์ พบว่าสาร epigallocatechin gallate (EGCG) ส่งผลให้ตับถูกทำลายเล็กน้อยเมื่อบริโภคในขนาดสูง (2,500 มก./กก.) ติดต่อกัน 5 วัน และความเป็นพิษต่อตับจะยิ่งเพิ่มขึ้นเมื่อบริโภคชาเขียวในขณะเป็นไข้ (แต่การบริโภคชาเขียวในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ นั้นยังถือว่ามีความปลอดภัยครับ) สำหรับผู้ที่มีความผิดปกติเกี่ยวกับตับหรือมีอาการไข้ ควรหลีกเลี่ยงการบริโภคชาเขียวในขนาดสูงและติดต่อกันเป็นเวลานาน
ผลเสียของการดื่มชาเขียว คือ จะมีอาการนอนไม่หลับ (เนื่องมาจากคาเฟอีน) แต่อย่างไรก็ตาม ชาเขียวก็ยังมีปริมาณคาเฟอีนที่น้อยกว่ากาแฟ กล่าวคือ ชาเขียวประมาณ 6-8 ออนซ์จะมีคาเฟอีนประมาณ 30-60 มิลลิกรัม แต่ในขณะที่กาแฟ 8 ออนซ์จะมีปริมาณของคาเฟอีนมากกว่า 100 มิลลิกรัม
ในชาเขียวมีสารแทนนิน (Tannin) ซึ่งมีฤทธิ์ฝาดสมานและเป็นสารที่ช่วยบรรเทาอาการท้องเสีย จึงมีความเป็นไปได้ว่าการดื่มชาเขียวในปริมาณมากเกินไป จะสามารถทำให้ท้องผูกได้
ใบชามีองค์ประกอบของฟลูออไรด์ในปริมาณที่ค่อนข้างสูง (สูงกว่าในน้ำประปา) การที่ร่างกายได้รับสารนี้เข้าไปทุกวันจากการดื่มชา จะเกิดการสะสมและมีผลให้ไตวาย เกิดโรคมะเร็งลำไส้ เป็นโรคข้อ โรคกระดูกพรุน และโรคอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับกระดูก สำหรับในผู้ที่ดื่มไม่มาก ก็คงไม่ต้องเป็นกังวล
ใบชายังมีสารที่ไม่ดีต่อสุขภาพอีก คือ สารออกซาเรต (Oxalate) ซึ่งเป็นสารที่มีผลทำลายไต แม้ว่าในใบชาจะมีสารชนิดนี้อยู่ไม่มากก็ตาม แต่สำหรับผู้ที่ดื่มชาในปริมาณมากและดื่มเป็นประจำ สารออกซาเลตก็จะสะสมในร่างกายได้
โทษขอการดื่มชาต่อร่างกายก็มีรายงานไว้เช่นกัน จึงมีคำแนะนำว่าไม่ให้เด็กดื่มชาเขียว เพราะจะทำให้ร่างกายขาดสารอาหารได้ โดยเฉพาะสารสำคัญ คือ แทนนิน จะไปตกตะกอนโปรตีนและแร่ธาตุต่าง ๆ จากอาหารที่เรารับประทานเข้าไป จึงส่งผลทำให้การดูดซึมสารอาหารในร่างกายลดลงด้วย
สำหรับบางคนที่ดื่มชาเขียวก็อาจทำให้เกิดอาการแพ้ได้เช่นกัน แต่ก็พบได้ไม่บ่อยนัก ซึ่งถ้าเกิดอาการแพ้ก็ควรหยุดบริโภคชาเขียวและไปพบแพทย์ทันที โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่มีอาการแพ้อย่างรุนแรง เช่น หายใจติดขัด ริมฝีปาก ลิ้น และใบหน้าบวม หรือเป็นลมพิษ รู้สึกแน่นเหมือนมีอะไรติดคอ และอาจมีผลข้างเคียงเล็กน้อยอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นได้เช่นกัน เช่น ปวดศีรษะ มีอาการเสียดคอและหน้าอก ท้องเสีย ท้องร่วง มีอาการท้องผูก เบื่ออาหาร มีอาการหงุดหงิดง่าย เป็นกังวล นอนไม่หลับ มีอาการตกใจ หัวใจเต้นผิดปกติ หรือมีผลข้างเคียงอื่น ๆ อีกนอกจากที่กล่าวมา ก็ให้รีบไปพบแพทย์ทันที

ส่วนข้อมูลจากนายกสมาคมแพทย์แผนจีน ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ถึงแม้ว่าเขียวจะมีประโยชน์ต่อร่างกายมากมายก็ตาม แต่ในความเป็นจริงแล้วชาเขียวก็มีสารที่เป็นโทษต่อร่างกายด้วยเช่นกัน แต่ไม่ถึงกับเป็นอันตรายมากนัก ส่วนมากจะเกิดกับผู้ที่มีสภาพร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง เมื่อดื่มแล้วทำให้มีอาการใจสั่น นอนไม่หลับ มีอาการระคายเคืองกระเพาะอาหาร ท้องผูก ฟันดำ และหากดื่มอย่างต่อเนื่องก็อาจเป็นการเสพติดได้


cr www.youtube.com/watch?v=Pcxw_yN-GQc


ท่า เต้น hiphop









การเต้น Hip Hop เป็นการเต้นตามจังหวะของดนตรี Hip Hop ซึ่งลักษณะที่สำคัญของดนตรีประเภทนี้จะเป็นการร้อง การพูด การแร็ป (Rap)  ประกอบกับดนตรีอีเล็คโทรนิก และเครื่องเคาะจังหวะประเภทต่างๆ (Percussions)  ซึ่งเป็นเพลงที่มีจังหวะที่เร็วปานกลางถึงเร็วมาก   ดังนั้นท่าทางของการเคลื่อนไหวจึงเป็นการเต้นที่เร็ว  มีการหยุด  การกระตุกของร่างกายในแต่ละส่วน (Isolation) หรือการ locking การย่อขาและโยกตัวตัวขึ้น-ลง (Bouncing) และการกระโดด (Hop) ไปตามจังหวะเพลง โดยผู้เต้นจะเต้นเน้นจังหวะตามจังหวะของกลองและเสียงกีตาร์เบส  มีการเลียนแบบการเคลื่อนไหวของหุ่นยนต์  และกิริยาอาการต่างๆในชีวิตประจำวันของคนเราแล้วนำมาปรับเปลี่ยนเป็นท่าเต้นท่าต่างๆเพื่อความหลากหลายมากขึ้น  นอกจากนี้แล้วนักเต้น Hip Hop ยังมักนิยมนำเอาการเต้นเบรคแดนซ์ (Break Dance) มาเต้นประกอบการเต้น Hip Hop อีกด้วย
การที่การเต้นประเภท Hip Hop กลายเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายอย่างรวดเร็วในกลุ่มวัยรุ่นของไทย จึงทำให้สถาบันสอนเต้นรำหลายสถาบันในประเทศเพิ่มการเต้น Hip Hop เข้าไว้เป็นหนึ่งในวิชาที่เปิดสอนของสถาบันนั้นๆ จึงยิ่งเป็นการทำให้การเต้นประเภทนี้แพร่ขยายไปเร็วขึ้นอีก
ถึงแม้ว่าการเรียน Hip Hop จะเริ่มได้ตั้งแต่อายุประมาณ 8-9 ปี แต่กลุ่มนักเรียน Hip Hop ในประเทศไทยมักจะเริ่มตั้งแต่เด็กวัยรุ่นอายุตั้งแต่ประมาณ 12-13 ปีเป็นต้นไปจนถึงวัยคนทำงาน โดยมีจุดประสงค์เพื่อต้องการแสดงในงานกิจกรรมต่างๆที่โรงเรียนจัดขึ้น เพื่อต้องการเป็นที่ยอมรับในกลุ่มเพื่อน  เพื่อการแข่งขันหรือการประกวดเต้นรำต่างๆ  และเพื่อความสนุกสนาน รวมไปทั้งถือว่าเป็นการออกกำลังกายอีกประเภทหนึ่งด้วยเช่นกัน
ครูสอนเต้นรำที่ดีควรมีประสบการณ์ทั้งทางด้านการสอนและการแสดงค่อนข้างมาก เช่น เดียวกับการสอนการเต้น Hip -Hop ซึ่งผู้สอนควรที่จะต้องมีประสบการณ์จึงจะสามารถสอนให้นักเรียนได้รับทั้งความรู้ ความสนุกสนาน และสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ การเต้น Hip Hop นอกจากจะเป็นการเต้นที่เป็นการนำท่าเต้นต่างๆที่มีผู้คิดค้นเอาไว้แล้ว และเป็นที่นิยมเต้นกันอย่างแพร่หลายมาสอนในชั้นเรียนแล้ว  ยังสามารถเกิดจากการคิดท่าเต้นขึ้นมาใหม่เพื่อการสอนและการแสดงอีกด้วย   ลักษณะการเรียนการสอนการเต้น  Hip Hop จึงมักจะขึ้นอยู่กับหลักการและประสบการณ์ของครูผู้สอนเป็นสำคัญ  แต่ในบางสถาบันยังจะขึ้นอยู่กับนโยบายของผู้บริหารสถาบันอีกประการหนึ่งด้วย
ดังที่กล่าวไปแล้วว่าวิธีการเรียนการสอน Hip Hop นั้นไม่ได้มีหลักการที่แน่นอนและตายตัว และมักจะขึ้นอยู่กับประสบการณ์  ความสามารถและความถนัดของครูผู้สอนเป็นสำคัญ  เช่นถ้าครูผู้สอนไม่สามารถเต้นท่าเบรคแดนซ์ได้ ก็มักจะสอนในท่าที่ง่ายๆหรือคิดออกแบบท่าเต้นที่ตนเองถนัดขึ้นมา ครูที่มีความสามารถในการเต้นหลายๆด้านก็จะมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์และสามารถสอนได้มีประสิทธิภาพมากกว่า 


อาชีพที่ได้ชื่อว่าเป็นนักเต้นหรือภาษาอังกฤษเรียกว่า Dancer เป็นทั้งผู้ออกแบบท่าเต้นและเต้นให้กับศิลปินต่างๆ
              
หลักและวิธีการการเต้น Hip Hop  จะแบ่งออกเป็น 6 ขั้นตอน   ได้แก่
การอบอุ่นร่างกาย (Warm Up) โดยครูผู้สอนจะนำการอบอุ่นร่างกายในทุกส่วนตั้งแต่ศรีษะจรดเท้า ได้แก่ คอ ไหล่ ลำตัวช่วงบน (Rips) ช่วงกลางลำตัว สะโพก เข่า ขา  และเท้า โดยจะป็นการเคลื่อนไหวแบบแยกส่วน (Isolate)ไปในทิศทางต่างๆที่ร่างกายมนุษย์สามารถทำได้  เช่น ด้านหน้า ด้านข้างทั้งสองข้าง ด้านหลัง และการเคลื่อนร่างกายส่วนต่างๆเป็นวงกลม  เป็นต้น ท่าที่ใช้ในการอบอุ่นร่างร่างกายจะเป็นการฝึกท่าเต้นและการเคลื่อนไหวร่างกายในสไตล์ Hip Hop ขั้นพื้นฐานอีกด้วย โดยการนำท่าฝึกหัดต่างๆมาเต้นต่อเนื่องกัน
การโยกตัว (Hop) เป็นการฝึกที่เริ่มจากการงอลำตัวมาทางด้านหน้า แล้วยืดตัวขึ้น โดยทำซ้ำๆกันหลายๆครั้ง แล้วเริ่มงอเข่า (ย่อเข่า) แล้วยืดเข่า(ไม่จำเป็นต้องยืดเข่าสุด) ทำซ้ำหลายๆครั้งต่อเนื่องกันไปตามจังหวะ เมื่อคล่องแล้วจึงโยกตัวและย่อเข่าไปพร้อมๆกัน แล้วจึงเริ่มก้าวเท้าไปยังทิศทางต่างๆ เช่น ด้านข้างซ้าย ด้านขวา ด้านหน้า และด้านหลัง เป็นต้น ต่อมาจึงเริ่มใช้ข้อศอกและแขนงอและตึงไปตามจังหวะของขา
การเดิน (Walking) ประกอบด้วยการก้าวสไลด์เท้า ก้าวขา และหันตัวไปในทิศทางต่างๆโดยใช้เทคนิคการย่อขา  การถ่ายน้ำหนักจากขาหนึ่งไปยังอีกขาหนึ่ง และยืดขาเพื่อให้ลำตัวเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง
การล็อกตัว (Locking) คือการเคลื่อนไหวร่างกายแบบกระตุกแล้วหยุด  สามารถฝึกได้ทั้งการกระตุกเฉพาะส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย และการรวมกันของส่วนของร่างกายมากกว่าหนึ่งส่วนขึ้นไปประกอบกันเป็นท่าต่างๆ
การเต้นแบบหุ่นยนต์ (Robot) เป็นการเต้นเลียนแบบการคลื่อนไหวของหุ่นยนต์ โดยการเริ่มฝึกจะเป็นการเคลื่อนไหวร่างกายไปทีละส่วน เช่นการใช้แขนยกขึ้น กระตุกเล็กน้อยแล้วหยุด สามารถทำได้ทั้งแขนเดียวขึ้นลงสลับกัน และทั้งสองแขนเคลื่อนไปพร้อมๆกัน เป็นต้น โดยสามารถเคลื่อนไหวได้ทุกส่วนของร่างกายเช่นเดียวกัน ท่าทางการเคลื่อนไหวแบบหุ่นยนต์มักใช้ประกอบในการเต้นเพื่อโชว์ถึงความสามารถพิเศษของผู้เต้น  เพื่อเป็นการเพิ่มความน่าสนใจและความหลากหลายในการแสดง เป็นต้น
การเต้นระบำ (Routine) เป็นการนำท่าเต้นต่างๆที่ฝึกมาเต้นประกอบดนตรีแบบต่อเนื่องกัน โดยผู้สอนจะค่อยๆเริ่มต่อท่าซึ่งมักเรียกกันว่าเป็นการต่อท่าเซ็ท (Set) ทีละน้อย การเต้นระบำจะเป็นกลุ่มท่าที่ครูผู้สอนได้ออกแบบและเรียบเรียงขึ้นเพื่อเป็นการฝึกทักษะขั้นสูงขึ้นและไม่นิยมใช้ท่าเดียวกันเต้นซ้ำไปมาเหมือนกับการฝึก exercise ต่างๆ  ครูผู้สอนมักออกแบบท่าทางให้เหมาะสมกับความสามารถของนักเรียนส่วนใหญ่ในชั้นเรียน โดยมีการพัฒนาโดยการเพิ่มจำนวนท่าเต้นให้ยาวขึ้นในแต่ละครั้งที่มีการเรียนการสอน และอาจมีการปรับเปลี่ยน ท่าให้มีความยากขึ้นโดยใช้ท่าที่ต้องใช้ทักษะและความแข็งแรงของร่างกายมากขึ้น ทั้งนี้จะขึ้นอยู่กับความสามารถของนักเรียนในชั้นเป็นสำคัญ

cr  www.youtube.com/watch?v=VV-d0vmtIrs