วันศุกร์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2559






การแสดง สีละ




สิละ หรือ บือดีกา ศิลปะการต่อสู้ไทยมุสลิมแบบโบราณ  
    สิละ , ซีละ หรือไทยมุสลิมทางภาคใต้เรื่ยกว่า ดีกา , บือดีกา  เป็นศิลปะการต่อสู้ด้วยมือเปล่า  เน้น ให้เห็นลีลาการเคลื่อนไหวอย่างสงาม  ซึ่งเป็นสิลปะการต่อสู้ป้องกันตัวอย่างหนึ่งของชาวไทยมุสลิม    การต่อสู้แบบสิละนี้มีมาตั้งแต่  400 ปีมาแล้ว โดยกำเนิดขึ้นที่เกาะสุมาตราต่อมาผู้สอนเองมีการดัดแปลงแก้ไขให้เข้าทันยุคสมัย
                       

                        นักสิละรุ่นเยาว์กำลังวาดท่าลวดลายการต่อสู้ 

              คำว่า   สิละ   บางครั้งเขียนหรือพูดเป็น  ซีละ  หรือ  ซิละ เข้าใจว่ารากศัพท์มาจาก   ศิละ ภาษาสันสกฤตเพราะดินแดนชวามลายูในอดีตเป็นดินแดนของอาณาจักศรีวิชัยซึ่งมีวัฒนธรรมอินเดียเป็นแม่บทสำคัญ  ดังปรากฎคำสันสกฤตอยู่   ชึ่ง สิละนั้นหมายถึง  การต่อสู้ด้วยน้ำใจนักกีฬา  ผู้เรียนวิชานี้ต้องมีศิลปะมีวินัยที่จะนำกลยุทธ์ไปใช้ป้องกันตัว   มิใช่ไปทำร้ายผู้อื่นให้ได้รับความเดือดร้อน    ก่อนการฝึกสิละผู้เรียนจะต้องเตรียมข้าวของเพื่อไหว้ครูก่อนประกอบด้วย  ผ้าขาว  ข้าวสมางัด  ด้ายขาว  และแหวน  1  วงมามอบให้กับครูฝึก  ผู้เรียนจะต้องมีอายุไม่น้อยกว่า  15  ปี ระยะเวลาในการเรียน  3 เดือน 10 วัน (หรือ  100 วัน)จึงถือว่าจบหลักสูตร  โดยมีครูผู้สอน  1  คนต่อศิษย์ผู้เรียน  14  คน   ในรุ่นหนึ่งๆคนที่เก่งที่สุดจะได้รับแหวนจากครูและได้รับเกียรติเป็นหัวหน้าทีมและสอนแทนครูได้      การแต่งกายของนักสิละ ประกอบด้วย  ผ้าโพกศีรษะ  สวมเสื้อคอกลมหรือคอตั้ง  นุ่งกางเกงขายาว  แล้วมีผ้าโสร่งเรี่ยกว่าผ้าซอเกตลายสดสวยทับพร้อมกับผ้าลือปักคาดสะเอว หรือใช้เข็มขัดคาดแทนให้กระชับ  และเหน็บกริชตามฉบับนักสู้ไทยมุสลิม    เครื่องดนตรีประกอบการแสดงสิละมี  กลองมลายู  1  คู่   ฆ้อง  1 ใบ  และปี่ชวา  1 เล







           
                       นักบรรเลงดนตรีให้จังหวะประกอบการร่ายรำสิละ 
        
         

                      การบรรเลงเครื่องดนตรีประกอบสิละ 


         
                 นักสิละรุ่นเยาว์กำลังวาดท่าลวดลายร่ายรำสิละ 
         
      ดั้งนั้นจะเริ่มต้นด้วยการไหว้ครู  โดยจะเข้าไหว้ครูทีละคนซึ่งแต่ละสำนักจะมีการไหว้ครูแตกต่างกันออกไป  ระหว่างนี้นักสิละจะทำปากขมุบขมิบกล่าวคาถาเป็นภาษาอาหรับและขอพร 4 ประการ  หลังจากนั้น นักสิละทั้งสองฝ่ายจะทำการเคารพกันก่อนลงมือต่อสู้  เรี่ยกว่า สาลามัต   คือสัมผัสมือกันแล้วมาแตะที่หน้าผากจึงเริ่มการแสดงท่าทางลวดลายการร่ายรำต่อสู้ตามศิลปะสิละ   โดยระหว่างการต่อสู้มีกฎห้ามว่า  อย่าใช้นิ้วมือแทงตาคู่ต่อสู้   ไม่กำมือแน่น   ห้ามบีบคอ  ห้ามต่อยแบบมวยไทย 
       สิละของไทยมุสลิมภาคใต้  แบ่งออกเป็น  3  ประเภท   คือ 
                1. สิละยาโต๊ะ(ตก)  คือการต่อสู้อาศัยการรุกและรับ  ถ้ารับไม่ได้ก็จะตกไปเลย ส่วนมากใช้ในการประชันฝีมือ
                 2. สิละตารี (รำ)  คือการต่อกรด้วยความชำนิชำนาญในจังหวะลีลาร่ายรำ  ใช้ในการแสดงเฉพาะหน้าเจ้าเมืองหรือเจ้านายชั้นสูง
                3. สิละกายอ (กริช)  คือการต่อสู้ใช้กริชประกอบการร่ายรำไม่ใช่การต่อสู้จริงๆ แต่อวดลีลากระบวนท่าทางต่อสู้ส่วนมากมักจะแสดงในเวลากลางคืน
            
                             หนึ่งในท่าไหว้ครูของสิละ 
               
        
                          หนึ่งในท่าไหว้ครูของสิละ 
               
          
                 
                                   หนึ่งในท่าทางการต่อสู้สิละ 
     
          สิละนับตั้งแต่สมัยอดีตเป็นทั้งสิลปะที่ใช้ในการต่อสู้จวบจนกระทั่งมีวิวัฒนาการมีการปรับเปลี่ยนใช้เป็นการร่ายรำต่อสู้อวดลีลาท่าทางกระบวนการต้อสู้อย่างสวยงามสมจริง  สิละนี้เป็นศิลปะการต่อสู้ที่คล้ายกับมวยจีนหรือกังฟู  ทำให้ชวนนึกไปถึงการสืบเนื่องมาจากพ่อค้าชาวจีนที่เข้ามาทำการค้าขายในเมืองปัตตานีดังในตำนานเมืองปัตตานี  หลายตำนานที่มีชาวจีนเข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งเมื่อเข้ามาทำการค้าขายก็อาจได้เอาศิลปะการต่อสู้ของตนเองเข้ามาผสมผสานเข้ากับการต่อสู้แบบพื้นเมือง     อย่างไรก็ตามยังมีที่มาของสิละหลายสำนวนที่ยังหาข้อสรุปที่แน่นอนไม่ได้


         สิละ ปัจจุบันอันศิลปะการต่อสู้ของชาวไทยมุสลิมถิ่นมลายูในภาคใต้ของประเทศไทยที่ควรค่าแก่การอนุรักษ์และชื่นชม ซึ่งนับว่าเป็นสมบัติทางวัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์ของท้องถิ่นและของชาติกำลังจะเคลือบคลาน ถูกกลืนและเลือนหายไปจากสังคมคนไทยมุสลิมภาคใต้ของไทย   ทั้งนี้เนื่องมาจากสภาวะการณ์ทางสังคม  การเอาใจใส่ช่วยเหลือจากสังคมหลักและการขาดการเข้าใจ   เข้าถึงวัฒนธรรมของท้องถิ่นของหน่วยงานที่จะเข้ามาดูแลและให้การช่วยเหลือในการสนับสนุนอนุรักษ์วัฒนธรรมของท้องถิ่นอันเป็นรากเหง้าที่เป็นต้นแบบนำไปสู่ศิลปะการแสดงต่างๆนานาของสังคมประเทศชาติหลักอันสิ่งที่บ่งบอกถึงเอกลักษณ์ของชาติ     สิละกำลังตกอยู่ในสภาวการณ์ที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง

วันอังคารที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2559

การปลุก ขิงแดง

ขิงแดง (Red ginger) เป็นไม้ดอกไม้ประดับที่ให้ดอกสีแดงสดสวยงาม และออกดอกบานนาน เป็นพันธุ์ไม้ที่เติบโตได้ดีในทุกสภาพดิน และมีความคงทนต่อสภาพอากาศ ปลูกได้ดีในที่โล่ง และแดดส่องถึง มักพบปลูกมากในสวนหย่อมหรือสวนในบ้านเรือน ในบางท้องถิ่นมีการปลูกมากเพื่อตัดดอกส่งจำหน่าย ซึ่งมีทั้งตลาดในประเทศ และตลาดต่างประเทศ สำหรับตลาดต่างประเทศที่มีการส่งจำหน่าย ได้แก่ สหรัฐอาหรับเอมิเรต บาห์เรน ซาอุดิอาระเบีย เป็นต้น
ขิงแดงจัดเป็นพืชตระกูลเดียวกันกับข่า มีลำต้นใต้ดินเรียกว่า เหง้า (rhizome) ลำต้นเหนือดินเป็นกาบใบซ้อนกันแน่น สูงประมาณ 1 ? 2 เมตร ในสภาพดินที่อุดมสมบูรณ์ และปัจจัยแวดล้อมที่เหมาะสมอาจสูงมากกว่า 3 เมตร เมื่อโตกอจะอัดแน่นเป็นกอใหญ่ แตกเหง้าออกรอบข้าง ใบมีรูปรี ดอกออกปลายยอด ประกอบด้วยกลีบดอกประดับสีแดงสดเรียงซ้อนกัน คล้ายดอกกระเจียว กลีบดอกประดับเป็นรูปไข่ปลายแหลม ส่วนดอกแท้มีลักษณะรูปกรวยสีขาว อยู่ภายในกลีบดอกประดับ ซึ่งจะแห้งภายในไม่กี่วัน เหลือแต่กลีบดอกประดับสีแดงสดใสแทน

พันธุ์ของขิงแดง ได้แก่
Red ginger : เป็นพันธุ์ขิงแดงที่ปลูก และพบได้ทั่วไป
Eileen Mcdonald : หรือเรียกชื่ออื่นว่า ขิงชมพู (Pink ginger) กลีบดอกประดับมีลักษณะสีชมพู มีช่อดอกคล้ายขิงแดง
Jungle King : มีกลีบดอกประดับสีแดง ช่อดอกมีลักษณะมน อ้วนกว่าขิงแดงพันธุ์ red ginger เล็กน้อย
Jungle Queen : มีกลีบดอกประดับสีชมพูออกจางเล็กน้อย มีช่อดอกคล้ายพันธุ์ jungle king
Tahitian  กลีบดอกประดับมีสีแดง ช่อดอกมีลักษณะเป็นแขนงจำนวนมากแตกออกจากช่อหลัก จึงมีลักษณะเป็นช่อใหญ่กว่าพันธุ์อื่นๆ
Kimi : เป็นพันธุ์ที่เกิดจากการปรับปรุงพันธุ์ขิงชมพู (Pink ginger) ที่ให้กลีบดอกประดับที่มีสีชมพู ออกแดงเล็กน้อย ลักษณะช่อดอกคล้ายขิงแดง

การขยายพันธุ์
1. การใช้เมล็ด
การขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ดเป็นวิธีการที่ไม่ได้รับความนิยม เนื่องด้วยขิงแดงจะติดเมล็ดยากมาก นอกจากต้นขิงแดงเติบโตในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม และเอื้อต่อการติดเมล็ด
2. การใช้ตะเกียง (Aerial offshoots)
ตะเกียงหรือหน่อเล็ก ๆ มักพบงอกที่ช่อดอกบริเวณโคนกลีบดอกประดับ ซึ่งเก็บสามารถหน่อเล็กๆนี้นำมาปลูกขยายต้นได้ทันที แต่แนะนำให้นำมาเพาะในถุงเพาะชำเพื่อให้หน่อติด และตั้งตัวได้เสียก่อน ก่อนนำปลูกลงแปลงใหญ่ การขยายพันธุ์ด้วยวิธีนี้ถือว่าไม่ได้รับความนิยม เนื่องด้วยปริมาณตะเกียงมีน้อยไม่เพียงพอต่อความต้องการ
3. การแยกหน่อ (Division)
หน่อใหม่เกิดแยกออกจากเหง้าต้นแม่ สามารถขุดแยกออกจากต้นแม่ โดยเลือกหน่อที่เพิ่งงอกออกใหม่ ไม่แก่มาก และหน่อที่แยกต้องมีรากติดมาด้วยจะดีที่สุด ซึ่งอาจปลูกลงแปลงทันทีที่ย้ายมาหรือปลูกใส่ถุงเพาะชำพลาสติกเพื่อให้ต้นขิงแดงตั้งตัวได้เสียก่อนก็ได้ วิธีการนี้ถือเป็นวิธีที่นิยมมากที่สุด เพราะสามารถหาหน่อใหม่ได้ง่าย เพียงพอกับความต้องการ และง่ายต่อการจัดการ นอกจากนั้น สามารถหาซื้อเหง้าพันธุ์ขิงแดงได้ตามฟาร์มหรือตลาดพันธุ์ไม้ประดับได้ด้วย

การปลูก
1. การเตรียมแปลง
พื้นที่ดอนหรือค่อนข้างแห้ง ให้เตรียมแปลงด้วยการยกร่องลึกประมาณ 30 เซนติเมตร กว้าง 60-80?เซนติเมตร แต่ละแปลงกว้างประมาณ 2-3 เมตร ส่วนความยาวตามความเหมาะสมของพื้นที่
พื้นที่ลุ่ม ดินเหนียว น้ำท่วมขังเร็ว ให้เตรียมแปลงด้วยการยกร่องลึกประมาณ 1 เมตร กว้าง 1 เมตร แปลงปลูก กว้างประมาณ 1-2 เมตร ส่วนความยาวตามความเหมาะสมของพื้นที่
2. ระยะปลูก
ควรปลูกในระยะ 1 x 1 เมตร/หลุม โดยใช้หน่อพันธุ์หรือเหง้าที่แยกออกจากต้นแม่ และเพาะในถุงเพาะชำจนติดแล้ว แต่หากใช้หน่อพันธุ์ที่ขุดใหม่ และทำการปลูกทันที ให้ใช้ประมาณ 2 หน่อ/หลุม เพื่อป้องกันการตายของหน่อหรืออีกวิธีการ คือใช้เพียง 1 หน่อ/หลุม หากหลุมใดไม่ติดให้นำหน่อมาปลูกแทนใหม่ก็ได้ หลังจากปลูกเสร็จให้รดน้ำให้ชุ่มทันที


การดูแลรักษา
การให้น้ำ
โดยสภาพทั่วไปขิงแดงจะต้องการความชื้นของดินที่สูง และมีการระบายน้ำดี จึงต้องให้น้ำอย่างเพียงพอหรือให้ในปริมาณดินยังมีความชื้นที่เหมาะสม ซึ่งระวังไม่ควรให้น้ำมากเกินไปจนเปียกชื้นแฉะหรือมีน้ำท่วมขัง ซึ่งจะให้น้ำประมาณ 1-2 ครั้ง/วัน ก็เพียงพอ

สิ่งสำคัญของการปลูกขิงแดงคือการรักษาความชุ่มชื้นในดินที่เหมาะสม ซึ่งไม่เพียงอาศัยการให้น้ำเท่านั้น แต่หากมีการจัดการแปลงปลูกที่ใส่ปุ๋ยคอกหรือเศษใบไม้ในแปลง วิธีการนี้จะช่วยรักษาความชื้นในดินได้เป็นอย่างดี รวมถึงการปลูกต้นไม้รอบแปลงจะช่วยในการรักษาความชื้นของแปลงได้ดีเช่นกัน
การให้ปุ๋ย
การปลูกขิงแดงไม่มีความจำเป็นต้องใส่ปุ๋ยเคมีมาก การใส่ปุ๋ยนั้นจะใส่ในช่วงปีแรกประมาณ 3-5 ครั้ง โดยให้ปุ๋ยคอกหรือมูลสัตว์ร่วมกับปุ๋ยเคมีสูตร 20-20-0 ในอัตราส่วน 1: 10 ประมาณ 100 กิโลกรัม/ไร่ ส่วนในช่วงหลังที่ขิงแดงแตกหน่อ และเจริญเติบโตเต็มที่ในระยะหลังปีแรก ให้ทำการใส่ปุ๋ยคอกอย่างเดียวหรืออาจใส่ผสมร่วมกับปุ๋ยเคมีสูตร 16-16-8 ในอัตราเดียวกัน โดยใส่ประมาณปีละ 2 ครั้ง ก็ได้

การกำจัดวัชพืช
การปลูกขิงแดงในช่วงแรกอาจต้องมีการกำจัดวัชพืชในแปลงบ้าง โดยเฉพาะรอบข้างกอขิงแดงที่อาจพบวัชพืชขึ้นได้ ซึ่งควรทำการถอนวัชพืชอย่างน้อย 1 ครั้ง/เดือน แต่หลังจากขิงแดงเติบโต และมีการขยายหน่อมากขึ้นมักไม่พบปัญหาเรื่องวัชพืชหรือหากพบเกิดบริเวณข้างกอขิงก็มักไม่มีผลกระทบมาก แต่ทั้งนี้ควรเผฝ้าระวังวัชพืชด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะวัชพืชที่โตเร็ว และมีลำต้นใหญ่สูงนั้นให้ทำการถอนกำจัดเป็นระยะ

การตัดแต่ง
ทำการตัดต้นที่ไม่สมบูรณ์หรือเกิดโรคแมลงทำลายทิ้ง โดยตัดดอกชิดโคนต้น เหนือดิน 2 ? 3 นิ้ว โดยให้ทำการตรวจแปลงทุกวันหรืออย่างน้อยอาทิตย์ละครั้งจะเป็นการดีที่สุด ส่วนการตัดดอกให้ใช้วิธีการเหมือนกัน โดยตัดให้ไกล้โคนต้นมากที่สุด

โรค และแมลง ไม่พบโรคที่ก่อให้เกิดความเสียหาย
แมลงที่เข้าทำลาย ได้แก่ เพลี้ยแป้ง ทำลายดอก ป้องกัน และกำจัดได้โดยตัดดอกที่ถูกทำลายทิ้ง ซึ่งควรทิ้งให้ห่างจากแปลงมากที่สุด ส่วนสารเคมีอาจใช้สารเคมี เช่น อโซดริน ฉีดพ่นทั่วแปลง
สำหรับหนอนเจาะลำต้น มักพบเจาะกินแกนอ่อนต้นขิงแดง ทำให้ปลายยอดแห้งตายซึ่งสามารถสังเกตุเห็นได้ชัดเจน การป้องกัน และกำจัดนั้นทำได้โดยตัดต้นที่ถูกหนอนเจาะกินทิ้ง การใช้สารเคมี เช่น แลนเนท ฉีดพ่นทั่วแปลง

การเก็บเกี่ยว
การตัดดอกให้คัดเลือกตัดดอกที่บานแล้วบางส่วนประมาณร้อยละ 70 ? 80 ของช่อดอกทั้งหมด โดยใช้มีดคม ๆ ตัดที่โคนต้นเหนือดิน 2 ? 3 นิ้ว พร้อมนำดอกลงแช่น้ำสะอาดในถังหรืออุปกรณ์ที่เตรียมไว้หลังจากนั้นให้ตัดใบเหลือเฉพาะใบส่วนบริเวณปลายยอด 3 ? 4 ใบ หากก้านดอกยาวให้ตัดทิ้งเหลือประมาณ 80-100 ซม. สำหรับดอกขนาดใหญ่ และดอกขนาดกลาง ส่วนดอกขนาดเล็กให้ตัดก้านดอกยาว 50-80 ซม. ทำการมัดรวมเป็นกำๆตามเหมาะสม




https://www.youtube.com/cr


วิธี การ ปลูก มะนาว



สำหรับเกษตรกรที่คิดจะปลูกมะนาวในวงบ่อซีเมนต์จำนวน 100 บ่อ จะใช้เนื้อที่ประมาณ 1 ไร่เท่านั้น ซึ่งจะใช้เงินลงทุนมากในช่วงเริ่มแรก ส่วนค่าใช้จ่ายหลักจะอยู่ที่วงบ่อซีเมนต์และฝารองซึ่งเมื่อรวมค่าใช้จ่ายกิ่งพันธุ์มะนาว, ระบบน้ำ ฯลฯ รวมเป็นเงินในการปลูกมะนาวในวงบ่อซีเมนต์จำนวน 100 วงบ่อ เป็นเงิน 27,000 บาทโดยประมาณ 


ต้นมะนาวในวงบ่อเมื่อมีอายุต้นเพียง 8 เดือน จะบังคับให้ต้นออกฤดูแล้งได้โดยใช้หลักการเดียวกับการปลูกลงดินคือคลุมพลาสติกให้กับต้นมะนาวในช่วงเดือนกันยายนและกระตุ้นการออกดอกในเดือนตุลาคมจะได้ผลผลิตมะนาวแก่ในช่วงเดือนมีนาคม-เมษายนซึ่งเป็นช่วงที่มะนาวราคาแพงที่สุดเท่ากับว่าในการปลูกมะนาวในวงบ่อซีเมนต์จะใช้เวลาเพียงปีเดียวเท่านั้นสามารถเก็บผลผลิตได้ในช่วงฤดูแล้ง

การเริ่ต้นผังปลูกมะนาวในวงซีเมนต์

รายละเอียดของการเริ่มต้นการปลูกมะนาวในวงบ่อซีเมนต์จะต้องวัดพื้นที่กว้างxยาวก่อนเพื่อจะหาพื้นที่หลังจากนั้นเว้นทางเดินประมาณ2เมตร ระยะปลูกระหว่างต้น 1.20 เมตร ระยะระหว่างแถว 1.50 เมตร ปลูกแบบแถวคู่แล้วเว้นเป็นทางเดิน 2 เมตร สภาพพื้นที่ปลูกจะต้องปรับให้เรียบเหมือนกับลานตากข้าว วัดระยะการวางวงบ่อ การวางวงบ่อซีเมนต์พยายามวางให้เป็นเลขคู่เพื่อง่ายต่อการวางระบบน้ำและคำนวณแรงดันน้ำ แท็งก์จะแบ่งออกเป็น 2 ชุด ชุดแรกจะก่อให้สูง ประมาณ 5 วงบ่อ หรือมีความจุน้ำได้ 1,200 ลิตรจะใช้แท็งก์นี้เพื่อผสมปุ๋ยน้ำชีวภาพแล้วเปิดน้ำดีเข้าไปผสมปล่อยไปให้ต้นมะนาวในวงบ่อได้โดยตรง ส่วนแท็งก์อีกชุดหนึ่งจะก่อให้สูงประมาณ 9 วงบ่อ จำนวน 2 แท็งก์ เพื่อกักเก็บน้ำสะอาดแล้วช่วยในเรื่องของแรงดัน

การเตรียมดินปลูกมะนาวขนาดวงวีเมนต์



ขนาดของวงบ่อซีเมนต์แนะนำให้เกษตรกรใช้จะใช้ขนาดวงเส้นผ่าศูนย์กลาง80เซนติเมตรแต่เดิมฝาวงบ่อคุณพิชัยใช้ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง80เซนติเมตรเท่ากับขนาดของวงบ่อเมื่อปลูกไปนาน 2-3 ปี พบว่า รากของต้นมะนาวจะโผล่ออกมานอกวงและชอนลงไปในดิน ทำให้ควบคุมในเรื่องของการบังคับให้ออกนอกฤดูได้ยากมากขึ้น ปัจจุบัน จึงได้แนะนำเกษตรกรและแก้ไขให้ซื้อฝาวงบ่อที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางยาวกว่าเส้นผ่าศูนย์กลางของวงบ่อ ใช้ฝาวงบ่อขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง ประมาณ 90 เซนติเมตร กว้างกว่า 10 เซนติเมตรดินผสมที่จะใช้ปลูกมะนาวในวงบ่อซีเมนต์ จะใช้วัสดุปลูกหลัก 3 ชนิด คือ หน้าดิน 3 ส่วน ขี้วัวเก่า 1 ส่วน และเปลือกถั่วเขียว 2 ส่วน ผสมคลุกเคล้ากัน 

การใช้เปลือกถั่วเขียวจะช่วยให้สภาพดินมีการระบายน้ำที่ดี ถ้าใช้แค่หน้าดินผสมกับขี้วัวจะทำให้ดินปลูกแน่น เวลาให้น้ำไป 3-4 วัน น้ำยังไม่ถึงข้างล่างของวงบ่อ ยังได้ยกตัวอย่างปริมาณของดินที่จะใช้ในการปลูกมะนาว จำนวน 100 วงบ่อ จะต้องใช้หน้าดินประมาณ 1 คันรถสิบล้อ เทคนิคในการผสมวัสดุปลูกจะต้องปูพื้นด้วยหน้าดินเป็นขั้นแรก หลังจากนั้น ใส่ขี้วัวเก่าเป็นชั้นที่ 2 แล้วตามด้วยเปลือกถั่วเขียวเป็นชั้นบนสุด หลังจากนั้นใช้เครื่องตีพรวนติดรถไถจะเร็วกว่าใช้แรงงานคน


วิธีการปลูกมะนาวในวงบ่อวีเมนต์ที่ถูกต้อง


หลังจากที่ใส่วัสดุปลูกลงในบ่อซีเมนต์เรียบร้อยแล้วให้เกษตรกรขุดเปิดปากหลุมให้มีขนาดเท่ากับขนาดของถุงที่ใช้ชำต้นมะนาว(โดยปกติถ้าใช้กิ่งตอนมะนาวควรจะชำต้นมะนาวไว้นานประมาณ1เดือนเท่านั้นไม่แนะนำให้ซื้อต้นมะนาวที่ชำมานานแล้วหลายเดือนหรือชำค้างปี เนื่องจากจะพบปัญหาเรื่องรากขด ทำให้เจริญเติบโตช้าหรือต้นแคระแกร็น) รองก้นหลุมด้วยปุ๋ยเคมีสูตรเสมอ เช่น สูตร 16-16-16 อัตราประมาณ 1 กำมือ ถอดถุงดำปลูกต้นมะนาวให้พอดีกับระดับดินเดิม กลบดินแล้วใช้เท้าเหยียบรอบๆ ต้น เพื่อไม่ให้โยกคลอน ปักไม้เป็นหลักกันลมโยกและแนะนำให้ใช้ตอกมัดต้นมะนาวไว้กับหลัก ตอกจะผุเปื่อยหลังจากปลูกไปนานประมาณ 2 เดือน ต้นมะนาวตั้งตัวได้แล้ว แต่ที่หลายคนได้ใช้ปอฟางหรือพลาสติคทาบกิ่งมัดกับหลักจะอยู่ได้นานก็จริง แต่ปัญหาที่จะตามมาจะทำให้ลำต้นมะนาวคอด มีผลต่อการเจริญเติบโตของต้น หลังจากปลูกเสร็จให้เดินท่อ PE เจาะหัวมินิสปริงเกลอร์และวางท่อ PE พาดไปกับวงบ่อเลยเพื่อสะดวกต่อการทำงาน


ปลูกมะนาวในวงซีเมนต์ได้ตลอดทั้งปี
ในการปลูกมะนาวในวงบ่อซีเมนต์สามารถปลูกได้ตลอดทั้งปีปลูกไปแล้วนับไปอีก8เดือนเกษตรกรสามารถบังคับให้ต้นออกดอกได้ถ้าเกษตรกรจะบังคับให้มะนาวออกฤดูแล้งในรุ่นแรกแนะนำให้ปลูกต้นมะนาวในช่วงเดือนมกราคมในช่วงเดือนกันยายน-ตุลาคมในปีเดียวกันบังคับต้นให้ออกดอกได้โดยใช้หลักการเหมือนกับที่ปลูกลงดินผลผลิตมะนาวฤดูแล้งจะไปแก่และเก็บผลผลิตขายได้ราคาแพงในช่วงเดือนมีนาคม-เมษายนของปีถัดไป เท่ากับว่าการปลูกมะนาวในวงบ่อซีเมนต์ใช้เวลาปลูกเพียงปีเศษเท่านั้น เกษตรกรสามารถเก็บมะนาวฤดูแล้งขายได้


https://www.youtube.com/cr